เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 2-3
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 2 หอนางโลมมักจะมีเรื่องแปลกๆ
ในวันที่ไม่มีลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงช่างยากลำบาก อย่างน้อยมันก็ลำบากสำหรับคนห้าคนที่ดื่มเหล้าจนเมา จั่งซุนชงหัวเราะเสียงดัง ลุกขึ้นมาเต้นรำ หลี่หวยเหรินยืนจูบเปลือกต้นไม้ไม่หยุด หลี่เฉิงเฉียนห้อยคออ้วกอยู่บนกิ่งไม้เตี้ยๆ มีแค่เฉิงฉู่มั่วที่สภาพดีหน่อย เขานั่งเคี้ยวกระดูกเปล่าอยู่ตรงนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนพรม ซือซือลูบหัวของอาจารย์ ส่วนเสี่ยวอู่ช่วยเช็ดปากให้อาจารย์ ขณะที่ตี๋เหรินเจี๋ยป้อนน้ำส้มสายชูให้อาจารย์ แต่ก็น่าเสียดายที่อาจารย์อ้วกออกมาทั้งหมด
หลี่หวยเหรินจูบต้นไม้ไปนานๆ ก็รู้สึกเบื่อหน่าย เขาตะโกนขึ้นมาว่าอยากจะไปหอนางโลม ต้องไปให้ได้ คลานไปก็จะไปให้ได้ และแล้วคนเมาทั้งห้าคนก็เดินโซซัดโซเซไปขึ้นรถม้า องครักษ์ของหลี่เฉิงเฉียนพาพวกเขาไปที่เมืองฉางอัน
ตี๋เหรินเจี๋ยไม่รู้ว่าอะไรคือหอนางโลม เขาพึ่งจะตะโกนขึ้นมาว่าเขาจะไปด้วยก็ถูกเสี่ยวอู่บิดหู ถูกซือซือกระทืบเข้าให้ เรียกคนใช้ที่อยู่ไกลๆ มาเก็บของ ตัดสินใจจะไปบอกฮูหยินว่าอาจารย์ไปหาผู้หญิงพวกนั้น
รสนิยมของหลี่เฉิงเฉียนนั้นยุ่งยากจริงๆ เห็นบั้นท้ายขนาดใหญ่ของเหลาเป่าจึที่หอเอี้ยนไหลโหลวก็ส่ายหน้า เห็นหญิงงามของหอหมิงเย่วเก๋อก็ส่ายหน้า สรุปก็คือเขาส่ายหน้าให้กับผู้หญิงทุกคน หลี่หวยเหรินถามด้วยความโมโห “เจ้าจะไปที่ไหนกันแน่ เดินทั่วตรอกผิงคังฟางแล้ว”
“ข้าไม่ใช่ไม่พอใจ หอเอี้ยนไหลโหลวก็ไม่เลว บั้นท้ายอ้วนๆ ของเหลาเป่าจึไม่เลวเลยทีเดียว แต่คอของข้ามันไม่ยอมฟัง มันมักจะส่ายคออยู่ตลอดเวลา”
คนขับรถม้ารีบพาชายขี้เมาทั้งห้าคนไปที่หอเอี้ยนไหลโหลว เหลาเป่าจึไม่ได้ไปไหน รูปร่างของเหย่าเหนียงอ้วนขึ้นมาก หน้าอกโตขึ้นไม่น้อย แต่ว่าเอวก็ใหญ่ขึ้นมากเหมือนกัน เดินไปเดินมาเหมือนอวี้ฉือกง ทุกย่างก้าวช่างมั่นคง เมื่อครู่ยังรู้สึกเสียใจที่ปล่อยหมูทองตัวใหญ่ไปสองสามตัว คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกลับมาอีกครั้ง ไม่กล้ารอช้า โบกผ้าเช็ดหน้าราวกับเห็นคนรัก จากนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
หลี่หวยเหรินจับแขนและพูดว่า “เหย่าเหนียง รูปร่างของเจ้าตอนนี้ ข้าคงแบกรับมันไว้ไม่ได้ เอวอันบอบบางร่างน้อยของเจ้าตอนนั้นไปอยู่ที่ใดแล้ว”
เหย่าเหนียงถือโอกาสบิดแขนหลี่หวยเหรินเบาๆ ด่าเขาว่าไม่มีหัวใจ จากกันครั้งก่อนก็ไม่กลับมาอีกเลย ทำให้นางเสียใจเลยเอาแต่กิน สุดท้ายถึงได้กลายเป็นแบบในตอนนี้
คนมีสติปัญญาครบถ้วนดีจะรู้ว่าคำพูดในหอนางโลมไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง เหย่าเหนียงลากหลี่หวยเหรินขึ้นไปชั้นบน นางชอบสิ่งของหนักๆ ที่อยู่ในแขนเสื้อของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างมาก
ห้องห้องเดียวใช้พื้นที่ทั้งชั้น โต๊ะข้างหน้าหลี่เฉิงเฉียนและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยผลไม้และขนม มีแต่โต๊ะของอวิ๋นเยี่ยที่เต็มไปด้วยแตงกวาและขนมอีกนิดหน่อย เหย่าเหนียงจำคนที่หลงใหลในแตงกวาคนนี้ได้เป็นอย่างดี
คนเมามักจะปรนนิบัติรับใช้ยาก รางวัลที่เหล่าขุนนางเอาให้ตอนมีสติคือเงิน หากถือโอกาสโกงพวกเขาตอนเมา ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด ความจริงเงินแค่สองสามเหรียญพวกเขาไม่ได้สนใจ แต่แค่เหล่าขุนนางมีนิสัยไม่ชอบถูกหลอกลวง
ขณะที่นอนอยู่บนเก้าอี้นุ่ม นางรำพากันยกกะละมังมาช่วยเช็ดหน้าและล้างเท้าให้กับเหล่าขุนนาง ดูแลอย่างดีสมกับที่เป็นคนดูแลแขกที่มีฝีมือชำนาญการ ทำให้คนได้รับการปรนนิบัติรู้สึกสบาย เมื่อดื่มน้ำแปลกๆ ลงไปในท้องก็มีสติขึ้นมาทันที
เห็นว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายกลับมามีสติกันแล้ว เหย่าเหนียงยิ้มราวกับพระโพธิสัตว์ ไขมันใต้คางสั่นสะเทือนและพูดว่า “ได้ดูแลปรนนิบัติรับใช้พวกท่านช่างเป็นเกียรติกับหอของเรา ไม่ทราบว่าพวกท่านอยากจะดูการร่ายรำหรืออยากได้คนมาดูแล มีนางรำมาจากทางสุดขั้วตะวันตก ชุดเต้นรำสวยงามเป็นที่สุด ร่ายรำราวกับผีเสื้อ ผู้ชายใช้หัวสะบัดผ้า เป็นวงๆ ดูแล้วงามตาเป็นที่สุด”
“อืม ในฉางอันไม่ค่อยจะได้เห็นการร่ายรำที่บริสุทธิ์ของอียิปต์ แต่ว่าการร่ายนี้ผู้ศรัทธาเอาไว้ร่ายรำฟังคำสอนของเทพเจ้า จะมีคนยอมร่ายรำหรือ”
“ไอ้หยา ท่านช่างมีความรู้การศึกษา พวกเขามาจากดินแดนที่ชื่อว่าไอจวี๋ ช่างน่าสงสาร ได้ยินสาวน้อยที่พอจะพูดได้บอกว่าผู้คนทั้งโลกอยากจะฆ่าพวกเขา บอกว่าพวกเขาเป็นคนสกปรก แต่ว่าข้าเคยไปแอบดู พวกเขาสะอาดสะอ้านแล้วยังไม่มีกลิ่นเหม็น ดูๆ ไปแล้วก็เห็นว่าพวกเขาน่าสงสารจึงได้รับพวกเขาไว้ ให้ข้าวพวกเขากิน”
“เหย่าเหนียง ที่พวกเขาบอกว่าสกปรกคือสมองที่สกปรก ถูกเทพเจ้าทอดทิ้ง เจ้าไม่กลัวว่าเทพเจ้าของพวกเขาจะมาลงโทษเจ้าหรือ” อวิ๋นเยี่ยพึ่งเคยได้ยินคนที่ดูหมิ่นเทพเจ้าเป็นครั้งแรก จึงอยากจะเจอกับพวกเขา โดยทั่วไปแล้วคนที่ดูหมิ่นเทพเจ้าต้องมีความสามารถถึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ ไม่เช่นนั้นคงจะถูกสำนักเผาจนตายไปนานแล้ว
“ฮ่า ข้าไม่กลัว นี่คือต้าถัง ข้ากลัวตำรวจ แต่ไม่มีทางกลัวเทพเจ้าอะไรนั่น เชิญท่านนั่งรอสักครู่ ข้าจะไปเรียกพวกเขาออกมาร่ายรำเดี๋ยวนี้”
พอปรบมือ ทันใดนั้นก็มีเพลงเบาๆ ดังขึ้นมา ราวกับเสียงของธรรมชาติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจังหวะ นุ่มนวลราวกับสายลมอ่อนโชยพัดผ่านเข้ามา นุ่มนวลราวกับหิมะที่ตกลงบนกิ่งสน นางรำสี่ห้าคนสวมผ้าปิดหน้าเดินออกมาจากประตูลับ ฝีเท้าที่แผ่วเบา กระโปรงหลากสีสันโบยบินไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย กลายเป็นวงกลมวงใหญ่ เป็นอย่างที่เหล่าเป่าจึพูดไว้ไม่มีผิด ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน ราวกับผีเสื้อที่สวยงาม
ผ้าปิดหน้าเนื้อบางเบาที่เผยให้เห็นเพียงดวงตาอันสดใส แข็งกระด้าง และไร้ความปรารถนา นี่ควรเป็นแก่นแท้ของการร่ายรำนี้ แต่ในสายตาไม่มีความนับถือและความคาดหวังใดๆ ทว่ามันคือความเย็นชาอย่างหนึ่ง ซึ่งมันไม่ถูกต้องนัก
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันถามก็มีผู้ชายสี่ห้าคนสวมชุดคลุมสีขาวออกมาจากทางประตูลับ บนหัวมีผ้าคาดหัวยาวๆ ทันทีที่ผู้ชายพวกนั้นออกมา คนพวกนั้นก็พากันเอามือขวามาวางไว้ที่หู ราวกับว่ากำลังฟังเสียงอะไรจากไกลๆ แต่ไม่เห็นว่าพวกเขาจะขยับไปไหน จู่ๆ เสื้อคลุมก็ลอยขึ้นเอง ผ้าผูกหัวก็ลอยขึ้นมาด้วย หากผู้หญิงเป็นดอกมู่เหมียนฮวาที่สดใส เช่นนั้นผู้ชายก็คงจะเป็นเหมือนดอกหล่าปาฮวาสีขาว ดนตรีที่บรรเลงออกมาจากเครื่องดนตรีที่คล้ายกับซวิน เสียงราวกับมีคนกำลังสวดมนต์อยู่ไกลๆ ใช่แล้ว การร่ายรำนี้ไม่ใช่ร่ายรำให้คนดู เป็นการร่ายรำถวายแด่เทพเจ้า ตอนนี้พวกเขาเอามันออกมาขาย หากไม่ใช่การดูหมิ่นเทพเจ้าแล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ ไม่แปลกที่สำนักจะต้องการเอาพวกเขาไปทำเป็นฟืนในเปลวไฟ
หลี่หวยเหรินเห็นว่าไม่ใช่ระบำหน้าท้อง เขาไม่พอใจเป็นอยากมาก ผู้หญิงพวกนี้แต่งตัวมิดชิดขนาดนี้ ไม่เห็นเนื้อหนังมังสาเลยสักนิด น่าเบื่อ ข้าอยากดูระบำหน้าท้อง
“ไสหัวลงไป ถอดเสื้อผ้าแล้วค่อยขึ้นมาร่ายรำ ข้าอยากดูร่ายรำที่บิดตูดเป็นเชือก” นิสัยเลวทรามของชายหนุ่มช่างยากที่จะควบคุม เอาเงินมาด้วยก็เพื่อมาสนุก ไม่ได้จะมาดูชายหญิงสี่ห้าคนที่แต่งตัวเป็นดอกไม้
ไม่รู้ว่าเหลาเป่าจึโผล่ออกมาจากไหน นางโวยวายใส่พวกเขาที่กำลังตัวสั่นทันที “เห็นว่าพวกเจ้าน่าสงสาร ให้โอกาสพวกเจ้าหาเงิน ไม่ดูแลพวกท่านให้ดี ยังทำให้พวกท่านโมโห รนหาที่จริงๆ”
บนโลกใบนี้ไม่มีเหลาเป่าจึคนไหนที่เป็นคนดี นางยังดึงปิ่นปักผมออกมาแทงผู้หญิงที่น่าสงสารพวกนั้น ปากเอาแต่ตะโกนว่า “บอกให้พวกเจ้าสวมเสื้อผ้าเหมือนนางรำข้างนอกพวกเจ้าก็ไม่ยอม พลาดโอกาสหาเงินดีๆ ไปจนได้ คงต้องให้อดตายทั้งเป็น”
ผู้หญิงทุกคนกำลังช่วยบังผู้หญิงที่อยู่ตรงกลาง พวกนางยอมให้ตัวเองถูกแทง แต่ก็ไม่มีทางยอมให้เหลาเป่าจึแตะต้องผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางคนนั้น
จั่งซุนชงปรบมือหัวเราะเสียงดัง เห็นเหลาเป่าจึวิ่งเข้าไปในฝูงแกะราวกับเสือ เขาตะโกนอย่างพอใจ แล้วยังโยนเหรียญในแขนเสื้อออกไปดูความสนุก หลี่เฉิงเฉียนไม่มีอะไรโยนออกไป เขาแย่งเหรียญมาสองสามเหรียญแล้วโยนลงไปบ้าง เหย่าเหนียงชอบอกชอบใจ นางจึงไล่แทงแรงขึ้นกว่าเดิม
อวิ๋นเยี่ยแค่ยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา เขาจะดูว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางคนนั้นจะอดทนได้นานแค่ไหน เฉิงฉู่มั่วยิ่งชอบรังแกผู้อ่อนแอ เขากอดแขนและปล่อยให้นางรำที่อยู่ข้างๆ เอาองุ่นป้อนเข้าปาก
ท่ามกลางความโกลาหล มีหนังสือเล่มบางเล่มหนึ่งตกลงมา อวิ๋นเยี่ยพูดกับนางรำที่อยู่ข้างๆ หนึ่งประโยค นางรำคนนั้นก็วิ่งไปเอาหนังสือที่อยู่ตรงกลางมาให้อวิ๋นเยี่ยดู
น่าเบื่อ ก็เป็นแค่หนังสือ ‘หลักการเรขาคณิต’ ธรรมดาๆ เขียนเมื่อเก้าร้อยกว่าปีที่ก่อน สิ่งสำคัญของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่มันมีทฤษฎีขั้นสูงอะไร แต่เพราะว่ามันเป็นหนังสือคณิตศาสตร์ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ มีประโยชน์ในการฝึกฝนความคิดเชิงตรรกะของผู้คน โดยเฉพาะหลังจากที่ไฮปาเทียปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์แบบ มันก็ถูกใช้มาเป็นพันปี
พลิกไปได้หน้าสองหน้า อวิ๋นเยี่ยก็ถึงกับนั่งไม่ติด หนังสือเล่มใหญ่มาก แต่มันกลับทำมาจากหนังแกะอย่างดี ข้างหลังยังมีอักษรรูปแบบใหม่เพิ่มเข้ามา อักษรรูปร่างสวยงาม นี่ไม่ใช่ลายมือของผู้ชาย
อวิ๋นเยี่ยทนต่อความโหดเ**้ยมของเหย่าเหนียงไม่ไหวแล้ว หากยังไม่ทันได้พูดอะไร ผู้หญิงคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาคว้าหนังสือในมือของเขาออกไป กอดมันไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่น องค์รักษ์ที่อยู่สองฝั่งกำลังจะพุ่งเข้าไปทำโทษผู้หญิงชั้นต่ำที่ทำให้ท่านโหวขุ่นเคืองคนนั้น เหย่าเหนียงยิ่งโมโหขึ้นกว่าเดิม ผู้ชายพวกนั้นหันหลังออกมาล้อมรอบผู้หญิงคนนั้นไว้ตรงกลาง พร้อมที่จะรับการลงโทษ
อวิ๋นเยี่ยบอกให้พวกองครักษ์ถอยไป ไล่เหย่าเหนียงออกไปด้วย ก่อนจะเดินมาข้างหน้าพวกเขา พูดกับกับผู้หญิงที่อยู่ข้างในวงล้อมว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพื่อนๆ ของข้าก็เช่นกัน เพียงแค่พวกเขาพึ่งจะออกมาจากสนามรบ นิสัยรุนแรงนิดหน่อย ข้าอยากจะถามเพียงไม่กี่ประโยค ไฮปาเทียเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า นางตายไปแล้วกว่าสองร้อยปี เหตุใดเจ้าถึงมีต้นฉบับของนาง อีกอย่าง ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า หากมันไม่เป็นอันตรายต่อต้าถัง เพราะข้านับถือไฮปาเทีย ข้ายินดีที่จะช่วยให้พวกเจ้ากลับไปแคว้นของพวกเจ้า เจ้ามาจากเมืองย่าลี่ซานต้าใช่หรือไม่”
ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางอ้าปากกว้าง เธอคิดไม่ถึงว่าฝั่งตะวันออกที่แสนไกลจะมีใครรู้จักไฮปาเทีย มันเป็นไปไม่ได้
หลี่เฉิงเฉียนและคนอื่นๆ ก็ฟังไม่เข้าใจ ไฮปาเทียอะไร ย่าลี่ซานก็ไม่เข้าใจ นี่คือกลุ่มนางรำ ไม่มีความกดดันอะไร ชอบก็เอากลับไป พูดพร่ำทำเพลงอะไรมากมาย
ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรสักอย่าง อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าฟังภาษากลางของต้าถังออก เช่นนั้นเจ้าก็พูดออกมาเถอะ ข้าฟังภาษาของพวกเจ้าไม่รู้เรื่อง ต้าถังไม่ต้องการภาษาแปลกๆ พวกนั้น”
ดูเหมือนนางจะโมโห เอะอะโวยวายอะไรสักอย่าง อวิ๋นเยี่ยกางมือออก “ข้าฟังไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าเจ้าจะบอกว่าข้าเย่อหยิ่ง ข้าฟังไม่เข้าใจ เจ้าพูดไปก็เสียเปล่าไม่ใช่หรือ”
นางโมโห ผลักองครักษ์ออกไปแล้วเดินไปนั่งตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยย้ายโต๊ะเข้ามาวางไว้ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคนอย่างกระตือรือร้น ตัวเองหย่อนตัวนั่งลง ยิ้มแล้วมองไปที่นาง
“คนต้าถังล้วนแต่เย่อหยิ่งเหมือนเจ้าทุกคนเลยหรือ พวกเจ้าไม่กลัวผู้คนเกลียดชังหรือ”
“ชาวต้าถังไม่เคยอยากให้ใครมาชอบ มันทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากกว่า”
ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดแบบนี้ หลี่เฉิงเฉียน จั่งซุนชง หลี่หวยเหรินและเฉิงฉู่มั่วก็พากันยิ้มพยักหน้า แม้แต่เหย่าเหนียงที่แอบอยู่ตรงมุมก็คิดว่าคำพูดของท่านโหวสมเหตุสมผล จากนั้นนางก็หันไปเตะที่ก้นของนางรำทีหนึ่ง
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 3 สุนทรพจน์ของไฮปาเทีย
หญิงสาวมองชายร่างใหญ่สองสามคนที่กำลังยิ้มแปลกๆ พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดตามสัญชาตญาณ ปกปิดใบหน้าให้มิดชิดกว่าเดิม การเดินทางอันยาวนานทำให้พวกนางได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากมาย อียิปต์ที่สวยงามไม่เหมาะกับการเผยแผ่ความจริงอีกต่อไป คนในประเทศทะเลทรายแห่งนี้เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว พวกเขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเทพเป็นผู้ปกครองท้องฟ้า กำหนดความสุข ความทุกข์ การพบและจากลาของมนุษย์ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เทพเจ้ากำหนดไว้แล้ว
ให้ตายอย่างไรไฮปาเทียก็ไม่เชื่อว่าหลังจากที่ผู้ชายตายแล้วจะได้ไปอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยผลไม้ สวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยสายน้ำผึ้งและน้ำนมไหลกำลังรอเขาอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงอีกเก้าสิบเก้าคนที่อยู่ที่นั่น ไม่ว่าพวกนางจะปรนนิบัติรับใช้ผู้ชายมากี่คนแต่ก็ยังคงเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่ เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ก็เกิดความโศกเศร้าขึ้นในใจเป็นอย่างมาก
สิ่งก่อสร้างที่รุ่งเรืองมามากกว่าพันปีได้พังทลายลงในกองไฟ หนังสือหนึ่งแสนห้าหมื่นเล่มถูกเผา ในตอนแรกไฮปาเทียพยายามที่จะพื้นฟูความรุ่งโรจน์ทางปัญญาของชาวอียิปต์ แต่น่าเสียดายที่ความโง่เขลาได้เอาชนะความมีเหตุผล หลังจากที่โดนเปลือกหอยบาดเต็มตัวแต่ก็ยังคงไม่รู้สึกเสียใจ พวกอันธพาลเหล่านั้นก็ใช้ขวานสับแขนและขาของนาง โยนนางลงไปในกองไฟที่โหมกระหน่ำในขณะที่เส้นเอ็นมือและเท้ายังคงกระตุกอยู่…
มีประโยคหนึ่งในคัมภีร์อัลกุรอานเล่มล่าสุดได้ช่วยสำนักศึกษาที่กำลังจะล้มสลายของตัวเองไว้
ถึงแม้ว่าความรู้จะอยู่ในประเทศจีนที่ห่างไกลแต่ก็ควรที่จะไปเรียนรู้ คำพูดนี้ของมูฮัมหมัดได้ให้ความหวังครั้งสุดท้ายแก่ทุกคน เดินตามเส้นทางการค้าขายบนทะเลทรายอันห่างไกลไปยังประเทศมหัศจรรย์แห่งนี้ หลังจากเข้าสู่ต้าถัง ความทุกข์ใดๆ ก็ได้หายเป็นปลิดทิ้งในทันที
ถึงแม้ผู้คนเหล่านั้นจะชอบมองมาที่ตัวเอง แต่ก็สัมผัสได้ว่าเป็นเพียงแค่ความรู้สึกทางกามารมณ์ ไม่ได้มีความพยาบาทอื่นๆ อีก ในที่สุดก็มาถึงฉางอันขณะที่เงินก้อนสุดท้ายก็ไม่เหลือแล้ว ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะไม่รู้ถึงความสำคัญของการเรียนรู้ พวกเขามีระบบวิชาการและความรู้เป็นของตัวเอง แต่กลับไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้จากปัญญาที่มีของตัวเอง ในความสิ้นหวังจึงทำได้เพียงลองเต้นรำเพื่อเลี้ยงชีพ นี่คือความสามารถสุดท้ายที่ได้เรียนรู้จากดินแดนทะเลทราย ถึงจะไม่เหมาะสมจะแสดงในหอนางโลม แต่เพื่อความอยู่รอด ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
ชายผู้เย่อหยิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ ประเทศที่มีอำนาจของเขาทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองสูง ประเทศของเขาทำให้คนรู้สึกเกรงขาม ตั้งแต่เมืองแรกที่ได้เห็นเมื่อออกจากดินแดนทะเลทราย ตอนนี้นางแทบจำไม่ได้แล้วว่าได้เดินทางผ่านมากี่เมืองก่อนจะมาที่เมืองนี้ เมื่อตัวเองได้เห็นกำแพงเมืองสูงเป็นครั้งแรก ก็ตกใจจนแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น นี่คือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า คนอย่างตัวเองที่ไม่เคยเชื่อในพระเจ้ามาก่อนก็เกือบจะสงสัยในความเชื่อที่ตัวเองยึดถือ
ขุนนางที่ท่าทางแปลกๆ กลับรู้เรื่องไฮปาเทีย รู้จักยุคลิด และหนังสือของยุคลิด ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง ไฮปาเทียกำลังคุ้มครองลูกศิษย์ของตัวเองอยู่หรือ กำลังให้ความหวังสุดท้ายแก่พวกเราใช่หรือไม่
“อัตราส่วนของเส้นรอบวงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม นั่นคืออัตราส่วนของพื้นที่วงกลมต่อกำลังสองของรัศมี เป็นพื้นที่เท่าไหร่ เจ้ารู้หรือไม่” ไฮปาเทียหวังว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางจะเป็นนักวิชาการที่มีความรู้อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่ลูกของคนร่ำรวย ดังนั้นนางจึงนำโจทย์ยากที่ยังไม่ได้แก้ไขไปทดสอบอวิ๋นเยี่ย
หลี่หวยเหรินพูดอย่างหยาบคายว่า “ขนาดอัตราส่วนพายโบราณเจ้ายังไม่รู้จักเลย ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นนักวิชาการ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเต้นได้แล้ว หากทำให้ข้าพอใจได้ ข้าจะตอบเจ้าเมื่ออยู่บนเตียง”
หลี่เฉิงเฉียนกับจั่งซุนชงชะงักไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ คณิกาน้อยคนนักที่จะรู้จักอัตราส่วนพายโบราณ แต่ก็นั่นแหละ ในหอนางโลมมีผู้หญิงมากเกินไป ต้องพากันคุยเรื่องกลอนไปด้วย …ไปด้วยจึงจะน่าสนใจ
“ข้าว่าผู้หญิงคนนี้คิ้วเข้ม หน้าอกสวยเหมือนนกพิราบ เส้นผมดกดำ แต่กลับเป็นสาวพรหมจรรย์แล้วยังรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ พี่ชายข้าชอบนางมาก คืนนี้ข้าจะชวนนางไปเข้าร่วมงานวิจัยหนังสือคณิตศาสตร์จุ้ยชู่ของสมเด็จพระสังฆราช เจ้าคิดว่าดีหรือไม่”
จั่งซุนชงน้ำลายไหลขณะใช้ไหล่สะกิดหลี่เฉิงเฉียนที่กำลังคิ้วขมวด ทำเอาองค์รัชทายาทแห่งต้าถังขนลุกไปทั้งตัว ไปหลบอยู่ไกลๆ แล้วพูดว่า “เจ้าบ้า ถ้าเจ้าชอบก็เอาไป ขอแค่อวิ๋นเยี่ยไม่แย่งเจ้าก็พอ แต่ข้าคิดว่าแผนของเจ้าจะล้มเหลว”
จั่งซุนชงดูทั้งสองคนกำลังสนทนากัน ก็เห็นว่าในหอนางโลมกลับมีบรรยากาศที่เคร่งครึม ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดว่า “สหายข้าพูดไว้ไม่ผิด เราเรียกอัตราส่วนนี้ว่าพาย เนื่องจากพระสังฆราชเป็นผู้ค้นพบเมื่อสองปีที่แล้วก็เรียกว่าอัตราส่วนพายโบราณ ผลลัพธ์ของมันคือสามจุดหนึ่งสี่ ชาวต้าถังที่เคยเรียนหนังสือก็รู้กันทั้งนั้น ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ หากเจ้าชอบการศึกษาค้นคว้า ข้าก็ขอเชิญเจ้าไปดูหนังสือคณิตศาสตร์จุ้ยชู่ที่ห้องสมุดของสำนักศึกษาเจ้าก็จะรู้เอง”
“ต้าถังก็มีสำนักศึกษาและห้องสมุดด้วยหรือ ในยุคของอาจารย์ วิทยาลัยอเล็กซานเดรียมีลูกศิษย์หนึ่งร้อยหกสิบคน สมัยนั้นเป็นยุคแห่งความรุ่งโรจน์ คิดไม่ถึงว่าในประเทศที่ถูกปิดกั้นอย่างต้าถังก็มีสำนักศึกษาด้วย ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง” ไฮปาเทียแสดงความดีใจต่ออวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทางที่ดูประหลาดใจ แต่ดูจากการขมวดคิ้วของผู้ชายสองสามคนนั้น ดูเหมือนว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดไป
หลี่หวยเหรินเบ้ปาก คายเมล็ดองุ่นแล้วพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “คนป่าเถื่อนที่ไม่มีหัวคิดยังจะกล้าพูดเรื่องสำนักศึกษาอีก เมื่อก่อนได้ยินอวิ๋นเยี่ยบอกว่ากรุงโรมที่ใหญ่ที่สุดของพวกเจ้าเป็นเมืองที่ราษฎรแต่งกายไม่มิดชิดแล้วพากันเดินทางไปทั่วโลก อาหารหมูยังดีกว่าอาหารที่พวกเจ้ากิน โบกขวานไปมาตะโกนเสียงดังทำตัวเป็นโจรสลัด ตอนนี้ดันอยากเป็นคนมีอารยธรรม?”
ไฮปาเทียยืนขึ้นช้าๆ ดึงผ้าคลุมหน้าออกแล้วไปยืนที่กลางห้อง ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนอื่นๆ นำเสื้อคลุมสีขาวมาคลุมให้นางแล้วผูกปมไว้ที่หน้าอกของนาง มัดผมของนางให้สูงขึ้นแล้วเสียบปิ่นปักผม กิ่งใบกระวานสีทองถูกถักเป็นกวานสวมที่หัวนาง นางหยิบแตงกวามาจากโต๊ะของอวิ๋นเยี่ยหนึ่งลูก กัดเข้าไปสองสามคำแล้วพ่นออกมาเพื่อใช้ล้างเครื่องเทศ จากนั้นหยิบน้ำหนึ่งแก้วมาบ้วนปาก หลังจากนั้นห้าคนที่กำลังเผชิญหน้ากับอวิ๋นเยี่ยก็ยกมือทาบอกเพื่อแสดงความเคารพ
ภายใต้บรรยากาศอันยิ่งใหญ่ แม้แต่หลี่หวยเหรินที่ไร้มารยาทเหมือนหมู่ป่าก็ยังทำความเคารพกลับ หลี่เฉิงเฉียนแววตาลุกวาวจับจ้องไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา อยากดูว่านางจะทำอะไรกันแน่ จั่งซุนชงผลักตัวออกจากคณิกาแล้วลุกขึ้นมานั่งดีๆ ส่วนเฉิงฉู่มั่วได้นอนหลับปุ๋ยไปบนพรมแล้ว
ผู้หญิงคนนี้มีความงดงามที่ทำให้คนตกตะลึง รูม่านตาสีเขียวเหมือนตาแมว ผมสีน้ำตาลที่ถูกหวีจนเรียบ ลำคอเรียว ติ่งหูสีแดงก่ำดูสวยงามเป็นพิเศษภายใต้แสงเทียน คำพูดสำเนียงคล้ายๆ แมนดารินค่อยๆ ดังขึ้น
“ข้ามาจากอียิปต์ที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรือง ไม่ได้มีอาณาเขตกว้างใหญ่เหมือนกับต้าถัง ไม่ได้มีราษฎรเยอะแยะมากมาย ตอนนี้ทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดของเผด็จการ พวกเขาทำลายสิ่งสวยงามทั้งหมด มีเพียงวัดสูงใหญ่ที่มีแต่ความเยือกเย็นที่ถูกตั้งอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลานาน พระเจ้าได้กลายเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนั้นเพียงคนเดียว เสียงต่างๆ ที่แสดงถึงความไม่เห็นด้วยทั้งหมดจะถูกเผาในกองไฟจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะเห็นด้วยกับบุรุษผู้ทำลายอียิปต์ อียิปต์เป็นสถานที่อันสวยงาม เรามีอารยธรรมเมื่อหกพันปีที่แล้ว พีระมิดที่ยังคงอยู่ท่ามกลางสายลมและทะเลทรายได้บ่งบอกถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของเรา มันทำจากหินสองล้านสามแสนก้อนที่มีน้ำหนักถึงสองพันห้าร้อยกิโลกรัม ก้อนหินที่หนักที่สุดมีน้ำหนักมากกว่าห้าหมื่นกิโลกรัม ช่องว่างระหว่างหินไม่สามารถเสียบใบมีดเข้าไปได้ ส่วนความสูง หากนับตามวิธีการของต้าถังก็ประมาณห้าสิบฟุต”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ไฮปาเทียก็หยุดพูดแล้วมองไปที่อวิ๋นเยี่ย ในเมื่อรู้ถึงการมีอยู่ของไฮปาเทีย ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้จักพีระมิด นางต้องการหาคนยืนยันคำพูดของนาง
หลี่หวยเหรินถามอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นเยี่ย นางกำลังคุยโม้อยู่ใช่หรือไม่” คำพูดดูยังไม่มีความมั่นใจมากพอ แม้ว่าคำพูดของไฮปาเทียดูเหมือนจะจริงใจ ทว่าหลี่เฉิงเฉียนและจั่งซุนชงก็หันไปมองอวิ๋นเยี่ยพร้อมๆ กัน
อวิ๋นเยี่ยเกาจมูก ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ข้าก็อยากจะบอกว่านางกำลังคุยโม้ แต่ว่าอาจารย์ของข้าก็พูดเช่นนั้นเหมือนกัน เขาไม่มีทางพูดผิดแน่นอน ยังมีสิงโตตัวใหญ่มีหน้าเป็นคนที่นางไม่ได้พูดถึง”
ไฮปาเทียโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดต่อ “ขอบคุณท่านมาก ท่านผู้ซื่อสัตย์ ที่ท่านกำลังพูดถึงนั้นเรียกว่ามหาสฟิงซ์ เขาเป็นแค่คนโง่ที่พูดปริศนาได้ไม่กี่คำ
สิ่งที่ข้าต้องการพูดคือเรื่องอารยธรรม ไม่ใช้เทพนิยายที่ไร้เหตุผล ความสูงของพีระมิดกำลังสองเท่ากับพื้นที่สามเหลี่ยมบนพื้นผิวหอคอย เส้นรอบวงด้านล่างของหอคอยหารด้วยความสูงของหอคอยเท่ากับวงกลมหารด้วยรัศมี การคาดเดาอื่นๆ เกี่ยวกับพีระมิดของพวกเราพึ่งได้รับการยืนยันจากปากของอาจารย์ผู้นี้ นั่นคือความยาวเส้นรอบวงด้านล่างหารด้วยความสูงสองเท่าของหอคอย ย่อมมีค่าเท่ากับอัตราส่วนพายอย่างที่อาจารย์ผู้พูดพูดไว้ ท่านเชื่อไหมว่านี่คือเรื่องบังเอิญ
อาจารย์ทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงนักปราชญ์มากมายของพวกเราเหล่านั้น ข้าขอถามอาจารย์ทั้งหลาย สิ่งก่อสร้างอย่างพีระมิดถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของเราเมื่อสี่พันปีที่แล้ว ท่านยังจะบอกว่าพวกเราเป็นแค่กลุ่มคนป่าเถื่อนอยู่หรือไม่ ถือขวานร้องตะโกนทำตัวเป็นโจรสลัด พวกที่แบกถังเหล้าไว้กับตัวคือชาวเกาหลู อย่าได้นำนักปราชญ์ผู้สูงศักดิ์กับคนป่าเถื่อนมาปะปนกัน หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ผู้นี้รู้จักนักปราชญ์อย่างไฮปาเทีย ข้าก็เกือบจะคิดว่าที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดารที่เปิดสอนวิชาการ”
หลี่หวยเหรินมองไปที่ไฮปาเทียด้วยความหงุดหงิด สุดท้ายก็พบรอยด่างขาวๆ ที่จมูกทั้งสองข้างของนางก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ
“นักปราชญ์ผู้งดงาม วาจาของท่านทำให้ข้ารู้สึกละอายใจ แต่ว่าสิ่งที่ท่านพูดทั้งหมดคือการคาดเดา คนในต้าถังให้ความสำคัญกับหลักฐานมากขึ้น สิ่งที่ท่านพูดอาจเป็นเรื่องบังเอิญ อาจารย์ของข้าเคยกล่าวไว้ว่าการสร้างพีระมิดนั้นเกินความสามารถของชาวอียิปต์ เพราะว่าในสมัยนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่ฟาโรห์จะมีคนรับใช้แรงงานถึงยี่สิบล้านคน ดังนั้นสาเหตุของเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันอยู่
แต่ว่าข้าชื่นชมในความรู้ด้านคณิตศาสตร์ของเจ้า อาจารย์ไฮปาเทียของเจ้ามีความรู้เรื่องภาคตัดกรวยและเลขคณิตศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นจึงมีเหตุผลให้ข้าเชื่อได้ว่าท่านไม่ได้สืบทอดเพียงความงามของนางเท่านั้นแต่ยังสืบทอดความรู้ของนางอีกด้วย ถ้าหากเจ้าสะดวกข้าอยากจะเชิญเจ้าไปเยี่ยมชมสำนักศึกษาที่ภูเขาอวี้ซัน สำนักศึกษาแห่งภูเขาอวี้ซันไม่ได้มีลูกศิษย์แค่สิบยี่สิบคนอย่างที่ท่านว่า มันเป็นสำนักศึกษาที่ครบวงจร ตอนนี้มีลูกศิษย์กำลังศึกษาอยู่มากกว่าสองพันหนึ่งร้อยคน”
ไฮปาเทียแสดงสีหน้าประหลาดใจเป็นครั้งแรก นางรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าการมีสำนักศึกษาใหญ่โตในยุคนี้นั้นหมายความว่าอย่างไร
“เงินเดือนของข้าห้ามน้อยเด็ดขาด ข้าต้องเลี้ยงทั้งหมดสิบหกคน ดังนั้นเงินเดือนที่เจ้าให้ข้านั้นต้องตรงกับสถานะและความรู้ของข้า”
“ท่านไม่ต้องกังวล และยังมีเงินเพิ่มเติมให้สำหรับความงามของท่านด้วย” อวิ๋นเยี่ยยิ้มจนเห็นฟันขณะที่พูดกับไฮปาเทีย
จั่งซุนชงเอาหัวโขกที่หัวของหลี่เฉิงเฉียนอย่างแรง นางจะกลายเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาอยู่แล้ว หลี่เฉิงเฉียนไม่สนใจ เขาเองก็เป็นผู้นำของสำนักศึกษา นอกจากนี้เขาก็ไม่เคยสนใจผู้หญิงต่างแดน มีเพียงหลี่หวยเหรินเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเขากำลังยิ้มเยาะในเรื่องอะไรอยู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น