เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 16-20
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 16 ความคับข้องใจเรื่องกระโจม
คนฉลาดอย่างหลี่ไท่รู้ดีว่าถ้าคนอื่นมองผู้หญิงชาวหูผู้นั้นในเวลานี้จะต้องคิดว่านางเป็นนักบุญอย่างแน่นอนจึงทำได้เพียงก้มหัว ครู่หนึ่งต่อจากนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้อง ก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังคุยอยู่กับท่านย่าตระกูลอวิ๋น ซ้ำยังรับไม้เท้าของท่านย่าด้วยความใส่ใจแล้วพยุงท่านย่าค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ
ถอนหายใจยาวเพื่อทำให้ความหงุดหงิดในใจสงบลง หยิบสัมภาระของน้องชายและน้องสาวแล้วเดินก้าวต่อไปข้างหน้า…
เมื่อใกล้ถึงจุดหมายการเดินทางก็ลำบากขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นเยี่ยจะขี้เกียจไม่ได้แล้ว ในกลุ่มของผู้หญิงมีบางคนที่ไม่มีผู้ชายคอยช่วยเหลือ ลากลูกน้อยพร้อมกับถือของขวัญเดินโซเซไปข้างหน้า บางคนสามีป่วยตายไปแล้ว บางคนสามีตายในสนามรบไปแล้ว จึงต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตที่ดีเทียบเท่ากับเหล่าขุนนาง เพื่อที่ลูกจะได้มีโอกาสในการสืบทอดตำแหน่งของพ่อ หากหลุดออกจากกลุ่มก็จะไม่มีใครสงสารพวกเขา ความหวังที่ลูกจะได้สืบทอดตำแหน่งก็จะสลายหายไป
ผู้หญิงเหล่านี้หัวแข็งเป็นอย่างมาก ความแน่วแน่ของผู้หญิงกวนจงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย การเดินขบวนในอากาศร้อนเช่นนี้พวกนางก็สามารถอดทนได้ เหงื่อซึมผ่านผ้าขาวบางๆ จนมองเห็นเนินอก ในเวลานี้ไม่มีใครมามัวห่วงเรื่องพวกนี้ เหล่าหนิวต้องแบกสัมภาระของสมาชิกในครอบครัวของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่เสียชีวิตในสนามรบไปแล้วโดยรับเอามาถือไว้เอง เหล่าเฉิงก็ทำเช่นเดียวกัน จั่งซุนอู๋จี้เองก็มีสัมภาระอยู่บนบ่าของเขา แม้แต่ฝางเสวียนหลิงก็โน้มตัวไปอุ้มเด็กน้อยมาหนึ่งคน…
พิธีศักดิ์สิทธิ์ ชื่อฟังดูดี แต่ไม่เคยมีใครคิดถึงความโหดร้ายของพิธีนี้ สถานการณ์ที่น่าเศร้าของเหล่าผู้หญิงที่เดินต่อไปไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้นแล้วร้องไห้ ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเศร้าใจ เพื่อจะได้ดีกว่าผู้อื่น บางครั้งความทุกข์ทรมานที่ได้รับก็ไม่สามารถบอกให้ผู้อื่นรับรู้ได้
“พี่สะใภ้ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว แต่เพื่อลูกน้อย เราไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ อย่างไรก็ต้องปีนข้ามไปให้ได้ เอากระเป๋ามาให้ข้า ส่วนลูกน้อยข้าจะเป็นคนอุ้มเอง ท่านดึงเสื้อของข้าไว้เถิด เราจะเดินไปข้างหน้ากันต่อ”
อวิ๋นเยี่ยอุ้มเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้โยเยขึ้นมา แบกกระเป๋าไว้ที่ด้านหลัง ให้ผู้หญิงคนนั้นจับเสื้อของตัวเองแล้วเดินไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าคอจะถูกรัดจนหายใจไม่ค่อยออก แต่ก็ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ หลี่ซื่อหมินคนโหดร้าย เพื่อความมีเกียรติของเขาทำเอาข้าต้องทรมานแทบตาย อวิ๋นเยี่ยกล้าพนันได้เลยว่าในเวลานี้คนที่คิดเช่นนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว…
ในที่สุดก็มาถึงเสียที ให้ขุนนางกรมพิธีกรรมตรวจสอบป้ายชื่อที่เอว สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลงไปนอนบนพื้นหญ้า หายใจแรงๆ โดยอ้าปากพะงาบเหมือนกับปลาที่ถูกโยนขึ้นฝั่ง
ผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยในสภาพยุ่งเหยิงทีเดียว ถ้าหากเปลี่ยนสถานที่ คนอื่นคงจะคิดว่าสองคนคงเป็นชู้กัน แต่ว่าเมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครล้อใครทั้งนั้น ทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน ปกติถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่เคยต้องมารับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ หลังจากที่เด็กน้อยหลับไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกสดชื่นขึ้น ดึงแขนเสื้อของแม่เพื่อที่จะขอของกิน ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นแล้วพาลูกโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ย วันนี้หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากอวิ๋นเยี่ยคนทั้งสองคงไม่สามารถมาถึงที่แห่งนี้ได้ พิธีพระราชทานรางวัลหลังจากที่จบสิ้นการบวงสรวงนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว
เอาชีสสองชิ้นออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้สองแม่ลูก จากนั้นก็เดินจากไป ทำดีไม่จำเป็นต้องทิ้งชื่อไว้ นี่คือหลักในการใช้ชีวิตของอวิ๋นเยี่ยเสมอมา ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเอาแต่ขอบคุณอวิ๋นเยี่ย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าบอกนางไม่ใช่หรือ
สำหรับวันนี้ ชีวิตของขุนนางไม่ดีเท่าขอทาน ไม่อนุญาตให้จุดพลุระหว่างการบวงสรวงสวรรค์ โชคดีที่มีน้ำเย็นอยู่บ้าง ตอนนี้ไม่มีผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์คนใดในราชวงศ์ถังที่ดื่มน้ำอย่างตะกละตะกลามเพราะคิดว่านั่นเป็นพฤติกรรมหยาบคายของคนไร้การศึกษา
ท่านย่ากับซินเย่วมีของกินอยู่บ้างเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยไม่ได้แตะต้อง ไปเอากระเป๋าข้าวโพดของตัวเองมาจากรัชทายาท นั่งอยู่ใต้ร่มไม้เป็นเพื่อนท่านย่า ส่วนซินเย่วร้องไห้ไปถอดรองเท้าไป ให้อวิ๋นเยี่ยดูตุ่มพองใหญ่สี่ห้าตุ่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ก่อนจะค่อยๆ เจาะไปทีละตุ่ม
“คราวหน้าหากมีงานเช่นนี้อีกให้น่ารื่อมู่เป็นคนมา ต่อให้ต้องเดินไปหนึ่งร้อยลี้นางก็จะไม่ร้องโอดโอยแม้แต่นิดเดียว แบกแพะอีกหนึ่งตัวเลยก็ยังได้” อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะปลอบใจซินเย่วไปหนึ่งประโยคก็ค้นพบว่าจู่ๆ นางก็ทำคิ้วขมวดขึ้นมา
“นางอยู่ในตำแหน่งอะไร นางมีส่วนต้องแบกรับความทรมานเช่นนี้ด้วยหรือ รอให้ข้าตายก่อน หลังจากที่เจ้าแต่งตั้งนางแล้วค่อยพานางมาก็ยังไม่สาย” พึ่งจะพูดจบก็ถูกฝ่ามือของท่านย่าตีเข้าที่หลัง ใครใช้ให้นางพูดจาเหลวไหลล่ะ
อวิ๋นเยี่ยที่กำลังหัวเราะได้เอาชีสออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ซินเย่ว ตัวเองกะจะไปเดินดูรอบๆ ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลขุนนาง ไม่แน่อาจจะเข้าไปในกระโจมได้ นอนอยู่กลางภูเขาทุรกันดารเช่นนี้ กะจะให้เป็นอาหารยุงหรืออย่างไรกัน
“เจ้า เจ้านั่นแหละ มานี่ กระโจมของข้าอยู่ที่ไหน รีบพาข้าไป ข้าจะได้พักผ่อน” อวิ๋นเยี่ยตะโกนใส่ขุนนางกรมพิธีกรรมอย่างเย่อหยิ่ง มาถึงจุดนี้แล้วใครยังจะสนใจยศตำแหน่งเล็กๆ อย่างขุนนางระดับเจ็ดระดับแปดอีก
ขุนนางผู้น้อยตอบโดยไม่เงยหน้าว่า “ท่านโหว ท่านอย่าได้คิดไปเอง คืนนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็ต้องนอนโดยไม่มีกระโจม ท่านทำใจเสียเถิด หากต้องการกระโจมท่านก็ไปขอเอาที่ไท่ซั่งหวง พระองค์ท่านพอจะมีอยู่บ้างสองสามกระโจม” เมื่อพูดจบก็ยกมือขึ้นคำนับอวิ๋นเยี่ยอย่างมีมารยาท ดูเหมือนว่าจะยังมองไม่ชัดว่าท่านโหวหน้าตาเป็นอย่างไรเขาก็เดินจากไปเสียแล้ว
ในค่ายเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม เสียงถอนหายใจต่างๆ ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสาปแช่ง แน่นอนว่าพวกเขากำลังด่าขุนนางกรมพิธีกรรม ไม่มีใครกล้าพูดถึงฝ่าบาท ต่อให้มีความกล้ามากแค่ไหนพวกเขาก็ยังขี้ขลาดอยู่วันยังค่ำ
อย่างไรก็ตามในฐานะขุนนางชั้นสูงก็ต้องไปถามสารทุกข์สุกดิบฝ่าบาทเสียหน่อย จะได้บอกเขาด้วยว่าตัวเองก็ปีนขึ้นมาแล้ว เห็นฝางเสวียนหลิงกับจั่งซุนอู๋จี้กำลังจัดการเครื่องแบบราชการก็รู้ได้เลยว่าตัวเองก็ต้องจัดการด้วยเช่นกัน แต่เรื่องอะไรจะต้องจัดการเครื่องแต่งกาย ต่อให้ไปในสภาพนี้ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตาย ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ อย่างไรข้าก็ไม่ไปล้างในลำธาร เจ้าจะทำอะไรข้าได้
ผลของการทำเช่นนี้ก็คือการถูกเหล่าเฉิงและเหล่าหนิวกดลงไปในลำธาร กดหัวลงไปล้างในน้ำเสียหน่อยแล้วเอาผ้าขนหนูที่มีกลิ่นเปรี้ยวมาเช็ดบนใบหน้าของอวิ๋นเยี่ย ท่านย่าและซินเย่วช่วยเขาจัดแต่งเสื้อผ้า จากนั้นก็ถูกชายเฒ่าสองคนลากไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทต่อทันที
หลี่ซื่อหมินเป็นคนอารมณ์สุนทรีย์ กำลังพูดคุยอยู่กับไท่ซังหวงอย่างสนุกสนาน หลี่ซื่อหมินไม่มีกระโจมเพราะว่าเขามีห้องเป็นของตัวเอง ซ้ำยังใหญ่มากๆ เสียด้วย คาดว่าคืนนี้คงจะพาลูกๆ ของตัวเองนอนในห้องใหญ่นี้ ส่วนหลี่หยวนไม่สะดวกที่จะพักที่นี่ ดังนั้นเขาจึงมีกระโจมเป็นของตัวเอง
หลี่หยวนมีความสุขที่ได้เห็นอวิ๋นเยี่ย “ไอ้หนุ่ม คืนนี้เป็นวันที่ดี พวกเรามาเดิมพันกันบนภูเขาสักหน่อยดีหรือไม่ ได้ยินว่าเจ้าร่ำรวย เราก็อยากจะหาประโยชน์จากเจ้าเสียหน่อย ว่าอย่างไรล่ะไอ้หนุ่ม เจ้ากล้าหรือไม่”
หลี่ซื่อหมินยิ้มอยู่ข้างๆ สีหน้าเรียบเฉย นี่แหละคืออวิ๋นเยี่ย หลี่หยวนสามารถทักทายหรือเชื้อเชิญอย่างไรก็ได้ หากเป็นขุนนางคนอื่นๆ คงจะตกใจกลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว
อวิ๋นเยี่ยทำความเคารพหลี่ซื่อหมินอย่างเป็นทางการแล้วพูดว่า “ไท่ซังหวง ท่านช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง แน่นอนว่าผู้น้อยต้องเข้าร่วมด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าการเดิมพันของท่านนั้นมากมายแค่ไหน หากไม่ระวังต้องเสียกระโจมให้ผู้น้อยจะแย่เอาได้ ทำให้ท่านต้องนอนอยู่โพรงหญ้าจะกลายเป็นความผิดของผู้น้อยไปได้”
“เสด็จพ่อ ท่านต้องระวังไว้ให้ดี เจ้าเด็กนี่กำลังคิดจะยึดกระโจมท่าน จะให้เขาสมใจไม่ได้นะเพคะ” จั่งซุนได้ส่งถ้วยนมให้หลี่หยวนและหลี่ซื่อหมินคนละถ้วย ข้างบนโรยด้วยดอกกุ้ยฮวา ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกไม่น้อย
หลี่หยวนเป็นคนเส้นตื้น เขาหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทันแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอเจ้า อยากได้อะไรก็บอกมาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการปล้น ชิงทรัพย์ หรือโกงก็ได้ทั้งนั้น จะเป็นคนร้ายก็เป็นอย่างเปิดเผย ถือว่าเป็นเด็กที่มีความซื่อสัตย์ กระโจมที่พึ่งจะมอบให้หยวนชัง เราไม่ให้แล้ว เราจะเอามาเดิมพัน”
แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ได้ว่าคำพูดของหลี่หยวนมีนัยยะแอบแฝง แก้มของหลี่ซื่อหมินกระตุกสองที บนใบหน้าเรียบเฉย มีเพียงจั่งซุนที่หัวเราะแล้วพูดว่า “ของที่ให้ลูกชายไปแล้วท่านจะเอาคืนมาได้อย่างไร หากท่านอยากเอาไปเดิมพัน หม่อมฉันจะให้มหาดเล็กส่งมาให้ท่านอีกหนึ่งกระโจม ไม่จำเป็นต้องเอาคืนมาจากลูกชาย”
หลี่ซื่อหมินมองไปที่อวิ๋นเยี่ยอย่างยิ้มไม่ออก ใบหน้าเย็นชาดูน่ากลัว จากนั้นหันกลับไปมองหลี่หยวนชัง ยิ้มแล้วพูดว่า “หยวนชัง เจ้าเป็นอะไรไป”
หลี่หยวนชังพูดกับหลี่ซื่อหมินด้วยความเคารพว่า “แล้วแต่เสด็จพี่จะจัดการ ข้าเป็นคนร่างกายแข็งแรง แม้ว่าเกือบจะถูกคนร้ายฆ่าตายก็ไม่เป็นไร เรือที่ข้านั่งบนแม่น้ำก็จมอย่างไม่มีเหตุผลไม่ใช่หรือ ส่วนเสียงยิงของหน้าไม้สามขาก็ทำเอาข้าขวัญกระเจิง คืนนี้คงไม่มีหน้าไม้สามขาใช่หรือไม่”
ในห้องเต็มไปด้วยญาติพี่น้องตระกูลหลี่ ลูกพี่ลูกน้องอย่างหลี่เซี่ยวกงก็นั่งอยู่ด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นก็อยากจะลุกขึ้นพูดแต่กลับถูกหลี่เต้าจงที่อยู่ข้างๆ กดให้เขานั่งลง
หลี่หยวนบอกให้นางในที่อยู่ในห้องออกไปให้หมด พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไอ้หนุ่ม เจ้าอธิบายเรื่องนี้มาให้ชัดเจนแล้วเราค่อยเริ่มเดิมพันกัน ความจริงแล้วเจ้าก็ไม่ถือว่าเป็นคนนอก เจ้าเป็นลูกเขยของตระกูลหลี่ เจ้าคงไม่คิดว่าเรื่องนี้กะทันหันไปหรอกนะ อย่างไรอันหลานก็มีลูกให้เจ้าแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องอธิบายกันให้ชัดเจนจะดีกว่า”
อวิ๋นเยี่ยสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังคงยิ้มและพูดว่า “ไท่ซังหวง หากไม่ใช่เพราะคำสั่งอันเข้มงวดของฝ่าบาทที่ไม่ให้ข้าทำให้ท่านต้องเสียพระทัย หัวของฮั่นอ๋องก็คงได้แขวนอยู่บนประตูเมืองฉางอันตั้งนานแล้ว คงไม่มีโอกาสรอดมาได้ถึงบัดนี้”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้ายอมรับว่าเขาเคยออกคำสั่งนี้กับอวิ๋นเยี่ย ถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดของจั่งซุนแต่ก็เหมือนกับเป็นคำพูดของเขาเองจริงๆ
“ไอ้หนุ่ม เรายังพอรู้จักความเป็นคนของเจ้าอยู่บ้าง เห็นความสัมพันธ์ของเครือญาติสำคัญมากกว่าผลประโยชน์ เจ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดมาให้เราฟังสักหน่อย เราจะเป็นคนตัดสินถูกผิดเอง” พูดจบก็หันไปมองหลี่ซื่อหมิน หลี่ซื่อหมินหัวเราะแล้วพยักหน้า
“ไท่ซงหวงเองก็คุ้นเคยกับการเดินทัพอยู่แล้ว ตอนนั้นผู้น้อยเป็นผู้นำของกองทัพเรือหลิ่งหนาน เอากองเดินเรือของผู้น้อยลงสู่น่านน้ำ บนเรือมีธงอักษรถังตัวใหญ่โบกสะบัดอยู่ เรือทุกลำในแม่น้ำต้องถอยหลีกทางให้กองทัพ ต้องรอให้กองทัพของข้าไปก่อนพวกเขาจึงจะแล่นไปต่อได้ ข้าขอถามไท่ซังหวงว่าในเวลานี้ข้าเป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดในแม่น้ำสายนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว เมื่อเรือกองทัพหลวงแล่นผ่าน การหลีกเลี่ยงคือสิ่งที่ควรจะกระทำ”
“แต่ว่าในเวลานั้นเอง กลับมีเรือของทางการแล่นเข้าใกล้กับกองทัพเรือ เพราะรู้ว่าเป็นฮั่นอ๋อง ดังนั้นกระหม่อมจึงได้ชะลอเรือให้เขาไปก่อน ใครจะไปรู้ว่าบนเรือทางการลำนั้นกลับมีผู้หญิงสองคนทำท่าทางยั่วยวนอยู่ จากนั้นเรือลำนั้นก็ถูกกระหม่อมขว้างหินใส่หนึ่งกองจนกลายเป็นเศษไม้”
“เหลวไหล เจ้าขว้างหินมาหลายสิบกองต่างหาก เสด็จพ่อ เห็นได้ชัดเลยว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการจะเอาชีวิตของลูก”
หลี่หยวนพูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “เขากำลังให้เวลาเจ้าหนีต่างหาก มิเช่นนั้นภายใต้การโจมตีของก้อนหิน เจ้าอาจกลายเป็นอาหารของปลาไปนานแล้ว ไอ้หนุ่ม เราเข้าใจความหมายที่ว่าฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ของสามกองทัพเป็นอย่างดี เรื่องทุบเรือก็ให้มันจบแต่เพียงเท่านี้ แต่เหตุใดต่อมาเจ้าต้องใช้หน้าไม้สามขายิงเขาด้วย อย่าบอกเราเชียวว่าเจ้าไม่ได้ต้องการชีวิตของเขา”
อวิ๋นเยี่ยยกมือขึ้นคำนับหลี่หยวนแล้วพูดว่า “ไท่ซังหวง ท่านคงไม่รู้ว่าตอนนั้นบนเรือของกระหม่อมเต็มไปด้วยทองคำและสมบัติ อาจกล่าวได้ว่าคลังสมบัติครึ่งหนึ่งของต้าถังอยู่บนเรือของกระหม่อม มีคนแอบดูจากฝั่งตอนเที่ยงคืน ท่านลองพูดมาสิว่าหากกระหม่อมไม่ใช้หน้าไม้สามขายิงแล้วควรจะใช้อะไร จะให้บุกขึ้นฝั่งทั้งๆ ที่ไม่รู้สถานการณ์ที่ชัดเจนหรือพะยะค่ะ ความจริงแล้วหากถูกยิงตายก็ถือว่าเขาโชคร้าย หากยิงไม่ตายก็ถือว่าเขาดวงแข็งก็แค่นั้น” อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างไหลลื่น ต่อให้พูดเรื่องนี้อย่างไรตัวเองก็มีเหตุผลอยู่ดี
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 17 การโจมตีของตัวต่อ
หลี่หยวนเอามือลูบหน้าแล้วเอ่ยกับอวิ๋นเยี่ยว่า “คืนนี้เรามาเดิมพันกันว่าเจ้าจะเป็นหนี้ทองคำเราหรือว่าเจ้าจะได้กระโจมไปให้ครอบครัวของเจ้า” หลังจากที่ฟังอวิ๋นเยี่ยเล่าเรื่องทั้งหมดเขาก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรถึงเรื่องพวกนี้อีก กระโจมของหลี่หยวนชังถูกเขายึดคืนมา
อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่หยวนจึงชอบใช้ลูกเต๋าที่เคลือบด้วยตะกั่วสามลูกนี้อยู่เสมอ เพราะว่ามันกระจายตัวได้ดีงั้นรึ คราวที่แล้วตัวเองแพ้ราบคาบจึงได้ทำลูกเต๋าส่วนตัวขึ้นมา ตอนนี้มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคของหลี่หยวนไปแล้ว การเล่นไพ่นกกระจอกไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ การทอยลูกเต๋าต่างหากคือทักษะที่แท้จริง
ขอแค่มีกำลังพอเหมาะ การที่จะทอยได้แต้มสูงก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากที่ชนะหลี่หยวนครั้งที่แล้วก็ลืมแลกกลับคืนมา ตอนนี้สิ่งนี้จึงได้กลายเป็นของหลี่หยวนไปแล้ว ไม่มีคำว่าพ่อลูกบนโต๊ะพนัน หลี่หยวน หลี่เฉิงเฉียน หลี่หยวนชัง หลี่เซี่ยวกง หลี่เต้าจง รวมทั้งอวิ๋นเยี่ยกำลังสุมหัวกันล้อมรอบโต๊ะเปิดการเดิมพัน เสียงดังออกไปไกลถึงข้างนอก แม้ว่าเฉิงเหย่าจินจะอยากเข้าไปเสี่ยงดวงดูสักครั้ง แต่เมื่อนึกถึงดวงตาที่เย็นชาของหลี่ซื่อหมินเขาก็ทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายแล้วนอนหลับไปในโพรงหญ้า
ดูเหมือนว่าหลี่หยวนชังจะเดิมพันกับอวิ๋นเยี่ยโดยเฉพาะ หากอวิ๋นเยี่ยเลือกสูงเขาก็จะเลือกต่ำ ยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมงกระโจมของเขาก็กลายเป็นของตระกูลอวิ๋นไปเสียแล้ว หลี่หยวนหัวเราะแล้วให้คนรับใช้ตั้งกระโจมให้ตระกูลอวิ๋น ส่วนตัวเองก็เริ่มเดิมพันกับอวิ๋นเยี่ยต่อ
แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าลูกเต๋ามีปัญหา โยนไปสิบตามีแปดตาที่ออกสูง แต่ว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการเดิมพันถูกจัดเตรียมโดยหลี่หยวน ดังนั้นหลี่เฉิงเฉียน หลี่เต้าจง หลี่เซี่ยวกงและคนอื่นๆ จึงเข้าใจได้ทันทีว่าควรจะเลือกสูง มีเพียงหลี่หยวนชังขี้โมโหและเพื่อนเขาทั้งสองคนที่เลือกต่ำ
เกมการเดิมพันออกจะน่าเบื่อมากทีเดียว เมื่อดวงจันทร์ลอยถึงกลางฟ้าหลี่หยวนชังก็เป็นหนี้อยู่ไม่น้อย เขาอ้าปากจะขอยืมเงินจากเสด็จพ่ออีกครั้ง แต่กลับถูกหลี่หยวนโบกมือไล่ บอกว่าเขาเป็นจอมล้างผลาญสมบัติ มีเท่าไหร่ก็แพ้หมด สู้รีบออกไปนอนในโพรงหญ้าเสียตอนนี้จะดีกว่า
เมื่อทุกคนต่างพากันเลือกสูง การเดิมพันก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ หลี่หยวนจึงต้องเปลี่ยนจากทอยลูกเต๋ามาเริ่มเล่นไพ่นกกระจอกกับอวิ๋นเยี่ย หลี่เต้าจง และหลี่เซี่ยวกงกันสี่คน
หลี่หยวนชอบการเดิมพันเป็นอย่างมาก แม้จะไม่ได้นอนทั้งคืนแต่พลังงานก็ยังคงเหลือล้นเป็นร้อยเท่า อวิ๋นเยี่ย หลี่เซี่ยวกง และหลี่เต้าจงผู้น่าสงสารเมื่อตอนกลางวันต้องแบกของหนักเดินขึ้นภูเขากว่าหลายสิบลี้พากันหาวไปเล่นไพ่นกกระจอกไปเป็นเพื่อนกับชายเฒ่าแห่งตระกูลหลี่ เป็นไปได้ยากที่จะเอาชนะหลี่หยวนได้ในสภาพเช่นนี้ หลี่หยวนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลังจากชนะหลายตาติดกันทำให้เขากระปรี้กระเปร่ามากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาทางด้านทิศตะวันออก หลี่เซี่ยวกงและอีกสามคนก็ง่วงจนแทบทนไม่ไหว ได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่นมาจากด้านนอกกระโจม “กรี๊ด ตัวต่อ แม่เจ้า ตัวต่อมาแล้ว” หลี่หยวนชังวิ่งกุมหัวเข้าไปในกระโจมของหลี่หยวน ด้านหลังมีตัวต่อขนาดใหญ่บินตามมาอีกหลายสิบตัว อวิ๋นเยี่ยหยิบเสื้อของหลี่หยวนเอามาคลุมหลี่หยวนไว้ กดเขาลงไปใต้โต๊ะแล้วเอาผ้าปูโต๊ะมาพันรอบตัวเขา หากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่หยวน โทษของพวกเขาอาจร้ายแรงได้
น่าแปลก ตัวต่อเอาแต่บินตามหลี่หยวนชัง พวกมันไม่สนใจพวกหลี่เซี่ยวกงที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการเอาผ้ามาห่อตัว เหล่าคนรับใช้รีบวิ่งถือตาข่ายเข้ามา ไม่นานก็จับตัวต่อได้จนหมด จากนั้นก็นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่กับพื้นรอรับการลงโทษ
เมื่อหลี่ซื่อหมินที่สวมเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ เขาก็เห็นว่าของในกระโจมกระจัดกระจายไปหมดจึงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นหลี่หยวนชังเอาตูดชี้ฟ้าหัวมุดเข้าไปบนเบาะเก้าอี้ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก สั่งประหารคนรับใช้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพิจารณา
หลี่หยวนรีบคลานออกมาจากใต้โต๊ะเพื่อห้ามไม่ให้หลี่ซื่อหมินฆ่าคนรับใช้ของเขา ตัวเองมีคนรับใช้ที่คอยดูแลเอาใจใส่ไม่กี่คน หากประหารพวกเขาแล้วตัวเองก็ไม่เหลือใครให้บ่นแล้ว
เมื่อหลี่เซี่ยวกงดึงหลี่หยวนชังขึ้นมาจากเบาะนั่งก็ถึงกับถอนหายใจยาว เรื่องเกิดขึ้นแค่ในระยะเวลาอันสั้น แต่หัวของหลี่หยวนชังกลับเลอะเทอะไม่ต่างจากหัวหมู ไม่สามารถลืมตาได้เพราะใบหน้าปูดบวมไปหมด ปากเบี้ยวน้ำลายไหลออกมา ขนาดสภาพเป็นเช่นนี้ก็ยังจะตะโกนบอกว่า “อวิ๋นเยี่ยเป็นคนทำ เสด็จพ่อต้องจัดการให้ลูก ต่อให้ข้าตายก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”
แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็มองอวิ๋นเยี่ยด้วยความสงสัย อวิ๋นเยี่ยยิ้มแห้งแล้วส่ายหัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่หยวนมองดูลูกชายที่น่าสงสารแล้วพูดกับเขาว่า “รอบนี้เจ้าเข้าใจเขาผิดแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ออกจากกระโจมไปไหนเลย ขนาดจะทำธุระก็ยังใช้กระโถน เพราะว่าพ่อกลัวว่าพวกเขาจะหนีการเดิมพันไป ดังนั้นเรื่องนี้อาจมีบางอย่างแอบแฝงแต่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา”
หลี่หยวนชังร้องไห้ขึ้นมาทันที เวลานี้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ หากไม่ใช่อวิ๋นเยี่ยแก้แค้นเขา เช่นนั้นก็เหลือหลี่ซื่อหมินอยู่คนเดียวแล้ว ทำแบบนี้เท่ากับว่าจะให้เขาถูกต่อต่อยตายทั้งเป็น
หลี่หยวนร้องไห้แล้วพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ปล่อยเขาไปเถิด ข้าจะให้ลูกตัวเองตายอีกไม่ได้แล้ว” ในเวลานี้หลี่หยวนที่อยู่มานานก็ได้นึกถึงวันที่เลือดไหลดั่งสายน้ำอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะร้องขอให้หลี่ซื่อหมินปล่อยหลี่หยวนชังไป
“เสด็จพ่อ หากลูกเป็นคนทำเรื่องนี้ก็ขอให้ลูกถูกฟ้าผ่า แม้ตายก็ไม่มีที่ฝังศพ” พูดจบก็คุกเข่าลงต่อหน้าหลี่หยวน
เมื่อได้ยินคำยืนยันของหลี่ซื่อหมิน หลี่หยวนจึงหยุดร้องไห้ทันที เขารู้ดีว่าหลี่ซื่อหมินเป็นคนเช่นไร หากเขาบอกว่าไม่ได้ทำก็แสดงว่าเขาไม่ได้ทำอย่างแน่นอน ลูกชายคนนี้เป็นผู้รักษาสัจจะเสมอ
หลี่หยวนพยุงหลี่ซื่อหมินขึ้นมาแล้วพูดว่า “เราเข้าใจเจ้าผิดไป ในเมื่อเจ้าพูดแล้วว่าไม่ได้ทำก็แสดงว่าไม่ใช่เจ้า แต่ว่าเจ้าต้องหาตัวคนร้ายที่ทำร้ายหยวนชังมาทุบให้แหลกเป็นชิ้นๆ เพื่อระบายความแค้นในใจให้เรา”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้าตกลงและสั่งให้คนรับใช้ทำความสะอาดกระโจม ส่วนตัวเองพาหลี่เซี่ยวกงและคนอื่นๆ ออกไปจากกระโจม พึ่งจะออกมาจากกระโจม ดวงตาดุร้ายของหลี่ซื่อหมินก็จ้องไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วถามว่า “ไอ้หนุ่ม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าจริงๆ หรือ หากเจ้าคิดจะหลอกไท่ซังหวง เจ้าก็สามารถทำได้แม้จะอยู่ภายใต้การจับตามองของเขา”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มกว้างจนเห็นฟัน โบกมือไปมาเพื่อจะบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องจริงๆ หลี่ซื่อหมินพยักหน้า เขายังคงเชื่อใจอวิ๋นเยี่ย ในเมื่อบอกว่าไม่ได้ทำก็แสดงว่าเขาไม่ได้ทำ การตัดสินของหลี่ซื่อหมินนั้นแม่นยำอย่างยิ่งในเรื่องนี้
ฮั่นอ๋องที่อยู่มานานเกือบจะถูกตัวต่อต่อยจนตาย เรื่องนี้ถูกแพร่กระจายไปทั่วค่ายอย่างรวดเร็ว ข่าวลือแพร่กระจายไปในทันทีโดยกล่าวว่าฮั่นอ๋องถูกพระเจ้าลงโทษในวันบวงสรวงสวรรค์ดีๆ เช่นนี้ นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีนัก
หลังจากตรวจสอบทั่วทั้งค่ายแล้วก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าใครเป็นคนทำ อีกเพียงหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเปิดพิธีแล้ว จะรอช้าไม่ได้อีก มองดูอวิ๋นเยี่ยที่หาวเอาเป็นเอาตาย หลี่ซื่อหมินก็อดไม่ได้จึงปล่อยให้เขาไปพักผ่อนสักครู่ ตัวเองลองใช้สมองคิดไตร่ตรองดูอีกครั้งว่าใครน่าสงสัยที่สุด
แน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าใครเป็นคนทำ นอกจากหลี่ไท่แล้วก็ไม่มีใครทำได้ ตอนแรกคิดว่าเขาล้มเลิกแผนการแก้แค้นไปแล้วเสียอีก ใครจะไปรู้ว่าเขาจะกล้าดำเนินการตามแผนของตัวเองในเวลานี้ เงาในวัยเด็กของเขาได้คอยทำร้ายเขาอยู่ตลอด
หลี่เค่อหยิบถุงกระดาษน้ำมันออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้อวิ๋นเยี่ย เมื่อเปิดออกจึงได้รู้ว่าเป็นขาไก่ที่มีมันเยิ้ม ถอนหายใจแล้วห่อกระดาษน้ำมันใส่ไว้ในแขนเสื้ออีกครั้ง บ่ายวันนี้ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล ไม่รู้ว่าท่านย่าจะทนไหวหรือไม่
“ชิงเชวี่ยทำเกินไปแล้ว ในเวลานี้ไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้ จะทำให้เกิดการขัดแย้งในราชวงศ์” หลี่เค่อพูดเบาๆ อยู่ข้างอวิ๋นเยี่ย ไม่ได้มีเพียงแค่เขาที่รู้ คาดว่าหลี่เฉิงเฉียนก็คงพอจะเดาออกอยู่บ้าง แต่ดูจากที่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยในตอนนั้นแสดงว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทรยศน้องชายของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้หลี่เค่อกำลังบอกอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับความกังวลของเขาเพื่อให้อวิ๋นเยี่ยคิดหาทางออกให้หลี่ไท่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เกิดผลเสียเป็นอย่างมาก สิ่งที่เราทำได้คือปิดปากเงียบจนกว่าพิธีจะจบลง คาดว่าชิงเชวี่ยคงจะบอกกับฮองเฮาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝ่าบาทคงไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ ชิงเชวี่ยคงมีวิธีรัดกุมพอที่จะรับมือกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เราแค่รอดูความเปลี่ยนแปลงก็พอ” อวิ๋นเยี่ยมั่นใจในความฉลาดของหลี่ไท่
กระโจมของตระกูลอวิ๋นตั้งตระหง่านอยู่กลางค่าย เมื่อคืนซินเย่วเชิญเหล่าบรรดาผู้หญิงที่ใกล้ชิดกับตระกูลอวิ๋นเข้ามาพัก ถึงแม้ว่าจะแออัดเสียหน่อยแต่ก็ดีกว่านอนในโพรงหญ้า แต่สุดท้ายก็มีเพียงท่านย่าตระกูลอวิ๋นและหญิงชราสองสามคนเท่านั้นที่เข้ามาพัก แล้วยังมีเด็กน้อยอีกยี่สิบกว่าคน เมื่ออวิ๋นเยี่ยเดินไปที่ข้างกระโจม ซินเย่วได้หยุดเขาไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลำบากท่านพี่เสียแล้ว ตระกูลอวิ๋นไม่เคยมีหน้ามีตาเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้เมื่อคืนข้าจะนอนหลับอยู่ในโพรงหญ้าแต่ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก”
“แต่สามีของเจ้าไม่สบายเอาเสียเลย ต้องเล่นไพ่นกกระจอกทั้งคืน ตอนนี้ง่วงจะตายอยู่แล้ว โพรงหญ้าที่เจ้านอนเมื่อคืนอยู่ที่ไหน ข้าจะไปนอนหลับพักผ่อนเสียหน่อย”
มันคือโพรงหญ้าแห้งจริงๆ ด้วย พิธีศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ซื่อหมินโบราณสุดๆ แต่เขาไม่อยากสนใจอะไรแล้ว พึ่งจะโน้มตัวลงนอนในโพรงหญ้าก็ได้ยินเสียงกรนดังขึ้นมาแล้ว ซินเย่วหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาคลุมให้เขา นั่งข้างๆ แล้วไล่แมลงวันที่น่ารำคาญเหล่านั้น
อยู่ๆ ไฮปาเทียก็โผล่มาอย่างกับผี พูดกับซินเย่วเบาๆ ว่า “ข้ารู้ว่าองค์ชายโดนต่อต่อยได้อย่างไร”
ซินเย่วร้องด้วยความตกใจแล้วรีบเอามือปิดปากตัวเอง มองไปรอบๆ พบว่ารอบตัวไม่มีคน จึงได้ถามไฮปาเทีย “เจ้าได้บอกคนอื่นหรือยัง”
ไฮปาเทียพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้ายังไม่ได้บอกใคร ข้ามีเจ้าเป็นเพื่อนเพียงแค่คนเดียว แน่นอนว่าข้าต้องบอกเจ้าเป็นคนแรก”
ซินเย่วพูดกับไฮปาเทียอย่างจริงจังว่า “เจ้าต้องปิดปากเงียบ เจ้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าเองก็ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เจ้าคิดว่าบนโลกนี้มีเจ้าคนเดียวที่ฉลาดหรือ สามีข้าฉลาดเช่นนี้ยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย คนฉลาดอื่นๆ ในค่ายก็ยังไม่รู้อะไรเลย หรือเจ้าคิดว่าพวกเขาไม่ฉลาดเท่าเจ้า หากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่อย่างสงบและสอนหนังสือในสำนักศึกษา เจ้าก็ต้องปิดปากเงียบ เรื่องต่อแตนพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้หญิงอย่างเรา นั่นคือสิ่งที่พวกผู้ชายควรจัดการกันเอง”
ไฮปาเทียไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินคำเตือนของซินเย่วก็หน้าซีดไปในทันที ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าที่ไฮปาเทียรุ่นแรกเสียชีวิตอย่างน่าสังเวชเป็นเพราะได้มีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างอำนาจของกษัตริย์และศาสนา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความภาคภูมิใจเมื่อครู่ได้กลายเป็นความกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแทน ขยับเข้าไปใกล้ซินเย่วเพื่อต้องการคนปลอบใจ เมื่อซินเย่วเห็นว่าไฮปาเทียขยับเข้ามาใกล้ตัวเองจึงอดคิดถึงคำพูดที่สามีพูดกับตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนว่าไฮปาเทียจะชอบผู้หญิงมากกว่า ไม่ได้การแล้ว จึงรีบลุกขึ้นมาแล้วนั่งลงอีกด้านหนึ่งของสามี
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 18 คิดไปเรื่อยเปื่อย
ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็สามารถคลี่คลายคดีได้แล้ว วายร้ายอย่างหันกุยหรือหันเหยียงเหนียง แม้ว่าพวกเขาจะใช้สมองทำทุกวิถีทางไม่ให้ถูกจับได้ก็ตามแต่ก็ไม่สามารถหนีจากสายตาของฮ่องเต้ที่สามารถมองทะลุผ่านเมฆหมอกได้ เขาถูกลากออกมาจากกลุ่มคนสามพันคน เตรียมที่จะตัดหัวก่อนพิธีบวงสรวงสวรรค์ ต้องโทษลอบทำร้ายราชวงศ์ ทั้งที่เขาเป็นถึงหัวหน้ากรมมหาดไทยของฝ่ายคัดกรองด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนอวิ๋นเยี่ยเคยดื่มเหล้ากับชายเฒ่าผู้นี้อยู่สองสามหน ได้ชายเฒ่าผู้นี้ช่วยหาน้องเขยให้ตัวเอง เป็นคนดี ดื่มเหล้าเก่ง ตรงไปตรงมา เข้ากับคนง่าย หน้าที่การงานดี ชื่อเสียงใสสะอาด นอกจากการชอบจับผิดสีของทองคำก็ไม่มีข้อเสียอย่างอื่นอีก ตระกูลอวิ๋นมักจะกังวลเพราะแยกแยะทองคำบริสุทธิ์ไม่ออก ได้ยินว่าผู้คัดกรองหันมีทักษะในการคัดแยกทองคำ จะไม่ขอให้ช่วยได้อย่างไร มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอกับปรมาจารย์จึงได้บุกไปขอให้เหล่าหันช่วยคัดกรองทองคำอย่างอุกอาจ
แต่ว่าเหล่าหันนั้นงานยุ่งเสียจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่มีเวลาว่าง ในที่สุดเมื่อตอนที่อวิ๋นเยี่ยเกือบจะหันหลังกลับไปเขาถึงได้ยอมช่วยตระกูลอวิ๋นคัดแยกทองคำสองร้อยชั่งอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เพียงแต่ว่างานยุ่งเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะคัดแยกทองคำเสร็จ ขอให้ตระกูลอวิ๋นอดทนรอเสียหน่อย มีการออกใบเสร็จสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ หากไม่ออกใบเสร็จก็อาจจะเกิดการโกงขึ้นได้
ในเมื่อเขาตกลงจะช่วย หากไปเร่งรัดก็คงจะดูไม่ดี ดังนั้นเกือบจะหนึ่งปีแล้วที่คนตระกูลอวิ๋นไม่เคยถามถึงเรื่องนี้ จนกระทั่งน้องเขยได้รับตำแหน่ง คนตระกูลหันจึงได้ส่งพ่อบ้านให้เอาทองคำสองร้อยชั่งมาคืนให้ตระกูลอวิ๋น
ปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์ สามารถคัดแยกทองได้แม่นยำ อวิ๋นเยี่ยพอใจเป็นอย่างมาก วั่งไฉชอบทองที่ตระกูลหันส่งมา ฉวยโอกาสตอนที่อวิ๋นเยี่ยกำลังออกใบเสร็จให้พ่อบ้าน มันก็คาบทองคำไปทีละหนึ่งแท่ง คาบไปจนหมดไม่เหลือให้อวิ๋นเยี่ยเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นก่อนที่พ่อบ้านตระกูลหันจะจากไป เขาจึงตั้งใจหยิบเหรียญทองแดงจำนวนมากออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วยัดลงไปในกระเป๋าเงินของวั่งไฉพร้อมชมว่ามันเป็นม้าที่ดี
ตำแหน่งขุนนางกรมมหาดไทยฝ่ายคัดกรองเป็นตำแหน่งไร้สาระ แต่ก็เป็นตำแหน่งที่มีอัตราการเสี่ยงชีวิตสูงด้วย การที่อยู่ในตำแหน่งนี้ในเวลาห้าปีได้อย่างปลอดภัยถือเป็นข้อยกเว้นที่หาได้ยากสำหรับเหล่าหัน ชื่อเสียงด้านความซื่อสัตย์ของเขาทำให้เขาได้รับผลประโยชน์
ได้ยินเหล่าหันร้องตะโกนขอความชอบธรรม “ใจข้าหมายปราบโจร แต่เกินต้านลิขิตสวรรค์” จากนั้นก็ถูกเพชฌฆาตตัดหัวทันที ความโศกเศร้าบางๆ ได้เกิดขึ้นในใจของอวิ๋นเยี่ย ตัวเองยังมีน้องสาวอีกเจ็ดคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งหมายความว่ายังมีน้องเขยอีกเจ็ดคนที่มีแนวโน้มว่าจะให้เหล่าหันหาให้ ตอนนี้เขาช่างกล้าหาญและใจกว้างมาก ครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
หัวหน้าขุนนางฝ่ายคัดกรองคนต่อไปจะต้องเป็นคนใสสะอาดและซื่อสัตย์เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะเปิดเผยงานอดิเรกที่ไม่ชอบธรรมเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง แต่ว่าเดือนหน้ารุ่นเหนียงก็จะแต่งงานแล้ว นางบอกพี่อวิ๋นไว้นานแล้วว่าถ้าลูกคนที่สองของตระกูลฉินไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีตัวเองก็จะไปฟ้องร้องกับท่านย่า แล้วยังบอกอีกว่าชายรองตระกูลฉินเป็นลูกชายที่เกิดจากนางสนม ตระกูลฉินไม่ค่อยสนใจเขาเสียเท่าไหร่ หากไม่มีอนาคตที่ดีตัวเองจะต้องขาดใจตายแน่ๆ
ขณะที่กลุ้มใจอยู่ ยืนลูบคางอยู่ข้างๆ หลี่ไท่ไปพลางๆ เขามองดูภรรยาผู้พลีชีพเย็บศีรษะสามีอย่างสงบด้วยเข็มและด้าย จากนั้นก็เอาเสื่อม้วนแล้วมัดเชือกเตรียมจะลากกลับบ้านพร้อมกับลูกชายที่อายุไม่ถึงสิบสามปี…
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าว่าข้าควรจะออกรับหรือไม่” หลี่ไท่หันไปถามอวิ๋นเยี่ย
“ภายใต้พิธีที่ยิ่งใหญ่นี้เจ้าและข้าก็เป็นเพียงแค่คนที่ไร้อำนาจ จะออกรับไปเพื่ออะไร การตายเช่นนี้สำหรับครอบครัวของหันกุยแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา ไม่ได้ยินที่เขาพึ่งจะตะโกนหรือว่า ‘ใจข้าหมายปราบโจร แต่เกินต้านลิขิตสวรรค์’ หมากที่เสด็จพ่อของเจ้าเอาไว้ใช้ผดุงอำนาจได้ขาดไปแล้วอีกหนึ่งตัว เจ้ากะจะทำให้หมากของเสด็จพ่อของเจ้าน้อยลงไปอีกหรือ”
“ชายชาติทหารไม่เคยบดบังชื่อเสียงของตัวเอง แค่นี้ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ หากข้าฆ่าคนนอกรีตผู้นั้น เสด็จพ่อจะทำอะไรข้าได้ ยึดตำแหน่งหรือ ขนาดโดนกักบริเวณข้ายังไม่สนใจ นับประสาอะไรกับตำแหน่ง”
หลี่ไท่ได้ใจเป็นอย่างมาก จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตราบใดที่ตัวเองไม่สนใจเรื่องตำแหน่งหรือโดนกักบริเวณ เขาก็สามารถเบ่งในต้าถังได้ ตอนนี้ทำได้ ในอนาคตก็จะยิ่งเป็นไปมากกว่านี้เมื่อพี่ชายของเขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้
ขุนนางกรมพิธีกรรมกำลังตีฆ้องอยู่ที่นั่น จัดระเบียบขบวนเตรียมบวงสรวงสวรรค์ ใบหน้าหลี่หยวนชังปูดบวมจนดูไม่ได้แต่ก็ยังต้องมาเข้าร่วมพิธี เห็นใบหน้าที่น่ากลัวของเขา ท้ายทอยของอวิ๋นเยี่ยก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ไม่เคยคิดเลยว่าหัวคนจะบวมได้เท่านี้ เจ็ดแปดตุ่มบวมเป็นตุ่มใหญ่จนมันเงา น้ำเหลืองไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจากจุดดำที่อยู่ตรงกลางตุ่ม คาดว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลี่หยวนชังคงจะถูกทำลายไปหมดแล้ว ต่อมีพิษในเทือกเขาฉินหลิงเป็นสิ่งที่แม้แต่เสือก็ยังไม่กล้าไปยั่วโมโห เมื่อต่อรวมตัวกันแม้แต่หมีก็ยังถูกต่อยจนตาย ต่อพวกนี้ไม่ได้ผลิตน้ำผึ้งด้วยตัวเอง พวกมันเชี่ยวชาญในการขโมยน้ำผึ้งจากฝูงผึ้ง แม้แต่ผึ้งก็ยังเป็นอาหารของพวกมัน ดุร้ายไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ มันเป็นราชาที่ยิ่งใหญ่ในเทือกเขาฉินหลิง แต่แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหวงเชวี่ยมันก็กลายเป็นแมลงธรรมดาเท่านั้นเอง
ทุกคนพากันอยู่ห่างจากหลี่หยวนชังโดยไม่ได้ตั้งใจ อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นแม้กระทั่งปฎิกิริยาตอบสนองของร่างกายหลี่หยวนชัง เจ้านี่คงกำลังตกอยู่ในอาการมึนงงอย่างแน่นอน
เมฆก้อนเล็กๆ ลอยมาแต่ไกล บดบังดวงอาทิตย์ไปชั่วครู่ นี่เป็นสิ่งเดียวที่พระเจ้าทำเรื่องดีๆ ในสองวันนี้ เมื่อมีก้อนเมฆ ลมก็เริ่มพัดบนภูเขา ชายที่แต่งตัวเป็นเทพสายลมโบกธงในมืออย่างมีความสุข ขุนนางกรมพิธีกรรมแต่งกายด้วยชุดบวงสรวงสวรรค์ ส่งเสียงท่องบทสวดแปลกๆ ที่อยู่ในมือควบคู่ไปกับการร่ายรำของนักบวชของสำนักเต๋า
ทูตจากต่างแดนใส่ชุดสีสันสดใสโห่ร้องและเริ่มการแสดงอยู่ด้านล่างเวที เห็นได้ชัดว่าได้มีการฝึกฝนจากกรมพิธีกรรมมาก่อนแล้ว ท่าทางพร้อมเพรียงกันเป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีคนงี่เง่าสองคนที่กระโดดผิดไปบ้าง อย่างเช่นเจี๋ยลี่ที่จะหันมามองหน้าหลี่ซื่อหมินทุกครั้งที่ตัวเองรำผิด อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังของหลี่ซื่อหมินจึงมองเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน
“อวิ๋นเยี่ย นี่คือฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องที่ครอบครองฉ่าวหยวนมาแล้วยี่สิบปีใช่หรือไม่” หลี่ไท่ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างดูถูก
“เดิมทีเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ข้าเคยได้ยินตำนานมากมายเกี่ยวกับชายผู้นี้ในฉ่าวหยวน บอกว่าเขาสามารถยิงนกอินทรีแปดตัวได้ด้วยธนูดอกเดียว สามารถล้มวัวที่แข็งแกร่งที่สุดได้ด้วยมือเดียว กินวัวหนึ่งตัวได้ภายในมื้อเดียว หลังจากกินข้าวเสร็จก็ยังต้องมีลูกแพะสามตัวมาเป็นของหวาน แล้วยังสามารถหาดอกไม้ที่สวยงามที่สุดในฉ่าวหยวนมามอบให้แก่ผู้หญิงที่สวยที่สุดในเผ่า สามารถร้องเพลงได้ไพเราะกว่านกขมิ้น คนคนเดียวสามารถเลี้ยงวัวได้หนึ่งหมื่นตัว เมื่อยามว่างไม่มีอะไรทำก็จะไปต่อสู้กับปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในฉ่าวหยวน ปีศาจตัวหนึ่งถูกเขาโยนลงทะเลเหนือ จึงซ่อนตัวอยู่ไม่กล้ากลับออกมา ปีศาจอีกตัวหนึ่งถูกเขามัดไว้บนภูเขาสูง เมื่อคิดถึงปีศาจตัวนี้เขาก็จะไปที่ภูเขาแห่งนั้นเพื่ออัดมัน (อ้างอิงจากประวัติขององค์กษัตริย์เกซาร์)”
อวิ๋นเยี่ยกำลังคุยโม้บรรยายความยิ่งใหญ่ของหลี่ซื่อหมิน หลี่ไท่ที่กำลังฟังอยู่สูดลมหายใจอันเยือกเย็นพยายามที่จะหันหน้าหนี แต่ข้างๆ กลับมีหลี่หยวนชังที่หัวโตเท่าหัวหมูยืนอยู่จึงต้องหันหน้ากลับมา กัดฟันฝืนกลั้นไม่ให้ตัวเองอาเจียนออกมา
คนมีเหตุผลก็คือคนมีเหตุผล หลี่เต้าจงชอบหัวข้อสนทนานี้เป็นอย่างมาก พูดกับคนในราชวงศ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “สิ่งที่อวิ๋นโหวพูดอาจจะฟังดูแปลกๆ ไปบ้าง แต่นี่คือวิธีที่พวกเขาบรรยายถึงวีรบุรุษแห่งฉ่าวหยวน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มักจะถูกปรุงแต่งให้ดูยิ่งใหญ่อย่างไม่รู้จบ ยิ่งข้าได้ยินก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยง”
ราชวงศ์หนุ่มกล่าวต่อว่า “ท่านลุงที่เก้า ไม่ว่าเจี่ยลี่จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ถูกพวกทหารจับได้ที่รังมาร์มอตไม่ใช่หรือ ไม่ถือว่าเป็นวีรบุรุษเสียเท่าไหร่ ดูท่าทางน่าสะอิดสะเอียนของเขาสิ หลังจากที่ข้ากลับจากเมืองหลวงข้าจะไปเล่นงานเขาเสียหน่อย ขนาดร่ายรำยังทำได้ไม่ดี อัปมงคลเสียจริง”
ในขณะที่ทุกคนกำลังเย้ยหยันพวกคนต่างชนเผ่าเหล่านั้นอยู่ ฉับพลันราชวงศ์หนุ่มสายตาเฉียบแหลมชี้ไปที่กลุ่มชนต่างเผ่าที่ยืนอยู่ข้างป่าแล้วถามหลี่เต้าจงว่า “ท่านลุงที่เก้า เหตุใดชนต่างเผ่าเหล่านั้นถึงไม่ลงไปร่ายรำ”
หลี่เต้าจงเหลือบมองแล้วพูดว่า “จะรีบไปไหน เดี๋ยวก็ได้ร่ายรำเป็นกลุ่มต่อไป หากไม่ร่ายรำตอนนี้ ในอนาคตพวกเขาก็จะต้องร่ายรำพร้อมกับใส่โซ่ตรวนไปด้วยอยู่ดี พวกเจ้าทั้งหลายจงตั้งใจฝึกซ้อม พวกเขาจะมาร้องเพลงและเต้นรำที่ต้าถังเร็วๆ นี้ ได้ยินมาว่ารำกลองของชาวเกาลี่นั้นเยี่ยมยอดมาก”
เวลาว่างมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดิมทีบนท้องฟ้ามีเมฆก้อนเล็กๆ เพียงก้อนเดียว แต่ได้กลายเป็นเมฆก้อนใหญ่ภายในเวลาไม่นานแล้วยังมีแนวโน้มจะมืดครึ้ม ขุนนางกรมพิธีกรรมรีบหยุดการร้องเพลงเต้นรำ เชิญให้ฮ่องเต้บวงสรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นหากฝนตกลงมาก็จะบวงสรวงไม่ได้แล้ว
ในขณะที่หลี่ซื่อหมินกำลังคุยกับพระเจ้า อวิ๋นเยี่ยเอานิ้วแตะน้ำลายเพื่อตรวจสอบทิศทางลม หลี่เซี่ยวกงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ทำสิ่งเดียวกันกับเขา จากนั้นจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไอ้หนุ่มฝนจะตกแล้ว พวกเราไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่หญิงชราและเด็กอ่อนไม่อาจทนฝนได้ เจ้าพอจะมีวิธีที่ดีหรือไม่”
“หากแม้แต่นักพรตก็ยังไม่มีแผนรับมือ หลานคิดว่าควรจะไล่พวกเขาทั้งหมดกลับบ้านไปได้แล้ว คนหาเช้ากินค่ำพวกนี้อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์”
ไม่รู้ว่าขุนนางกรมพิธีกรรมเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ในหนังสือพิธีกรรมมีรูปแบบจัดตั้งพิธีกรรมอยู่นับไม่ถ้วน แต่กลับเลือกวิธีที่ขาดคุณธรรมที่สุด ค้นหารายงานจากกองเอกสารเก่าแล้วระดมความคิดของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ได้วิธีอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้มา ตอนที่หวงตี้ขึ้นปกครอง พวกชาวบ้านมีเสื้อผ้าใส่กันหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ แต่ก็ต้องเคารพการปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีเช่นนี้น่ะหรือ
เมื่อในชนเผ่าไม่มีอะไรจะกินจึงต้องพาครอบครัวย้ายถิ่นฐานเพื่อหาของกิน จริงอยู่นั่นเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ก็ใช่ว่าจะเอามาใช้กับชาวต้าถังได้ พวกเขาล้วนมีร่างกายบอบบาง การเดินทางห้าสิบลี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการหนีเอาตัวรอด และที่สำคัญคือทั้งหมดคือขุนนางผู้มียศถาบรรดาศักดิ์เหล่านี้ พวกเขาเคยแต่นั่งรถม้าไม่เคยเดินเท้าขึ้นภูเขาด้วยตัวเองเช่นนี้มาก่อน
อยู่ๆ ในใจก็มีแรงฮึดขึ้นมา เคยมีฮ่องเต้ปัญญาอ่อนที่เคยทำสิ่งนี้นั่นก็คือท่าป๋าหง ฮ่องเต้เซียวเหวินผู้เด่นดังแห่งราชวงศ์เป่ยเว่ย เพื่อที่จะแย่งชิงอารยธรรมชาวจีน เขาโกหกพวกขุนนางบอกว่าตัวเองต้องการเดินทางไปที่จงหยวน แล้วก็หอบเอาข้าวของทั้งหมดมายังจงหยวน หลังจากที่ทุกคนเดินทางมาอย่างยากลำบากเขาก็บอกว่าเขาเหนื่อยมากแล้ว พวกเราเดินทางกลับไปไม่ได้แล้ว สร้างเมืองของเราที่นี่จะดีกว่า ดังนั้นชนเผ่าเซียนเป่ยจึงรวมเข้ากับชนเผ่าฮั่นอย่างรวดเร็ว หรือว่าพิธีการครั้งนี้คือการที่พวกหลี่ซื่อหมินกำลังระลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเขา มิเช่นนั้นการที่ฮ่องเต้บวงสรวงสวรรค์จะพาไท่ซั่งหวงมาด้วยเพราะเหตุใด
คนก็มักจะคิดไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย มังกรมีปีก ราชครูเรียกฝน เทพสายลม เทพเกราะทอง คนเหล่านั้นมองอย่างไรก็เหมือนกับการสุ่มหาใครมาเพื่อสร้างภาพ หากฮ่องเต้หวงตี้พึ่งคนโง่เหล่านี้เพื่อรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่งเดียวก็คงโดนชือโหยวจัดการไปนานแล้ว คงไม่สามารถกลายเป็นบรรพบุรุษของจีนได้
น่าสงสัยเสียจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นจั่งซุนอู๋จี้หันมายิ้มให้อวิ๋นเยี่ย ในใจเขาก็ยิ่งมีความสงสัยเพิ่มมากขึ้นไปอีก คนผู้นี้รูปลักษณ์ดูน่าสงสัย แม้แต่ชื่อของเขาเองก็ยังน่าสงสัย
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 19 เกิดดับไปพร้อมกับประเทศ
ยืนอยู่กับผู้เฒ่าเหยียนทำให้รู้สึกสบายขึ้นเยอะ ถึงแม้ว่าเขาจะมีผมไม่มาก ยืนทำตาหรี่ฟังหลี่ซื่อหมินอ่านคำบรวงสรวงแล้วส่ายหัวไปมาอยู่เป็นพักๆ แต่ว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้กลับได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของชายเฒ่า
“ท่านปู่ของข้ากำลังฟังคำกล่าวของฝ่าบาท อย่ารบกวนเขา” เสี่ยวเหยียนที่มีหนวดเต็มใบหน้าพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง
อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่มาหาที่พึ่งไม่ได้จะมารบกวนชายเฒ่าที่กำลังหลับใหล เมื่อยืนอยู่ข้างๆ ชายเฒ่าก็รู้สึกสบายขึ้นมาก พึ่งจะบิดขี้เกียจเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางที่ยาวนานในช่วงบ่าย ชายเฒ่าก็ลืมตาขึ้นมาแล้วยื่นมือไปที่อวิ๋นเยี่ย
“เอามานี่ หนุ่มสาวสมัยนี้ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโสเอาเสียเลย เจ้ามีขาไก่อยู่ในแขนเสื้อก็ไม่รู้จักแบ่งปันให้คนเฒ่าคนแก่ ข้ากินโจ๊กมาแล้วสองมื้อ แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง”
อวิ๋นเยี่ยเอาขาไก่ออกมาอย่างงงๆ ประคองสองมือยื่นให้ชายเฒ่าแล้วถามเบาๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโสท่านได้กลิ่นด้วยหรือ” ความไวของอวัยวะต่างๆ จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้นไม่ใช่หรือ ทำไมเขาจึงได้จมูกไวเช่นนี้
ชายเฒ่าเอาน่องไก่มาไว้ใต้จมูกเพื่อดมกลิ่น ทำท่าเคี้ยวปากสองที พูดอย่างเสียดายว่า “ข้าแก่แล้ว ไม่ได้กลิ่นหรอก คิดถึงเมื่อก่อน ขาไก่เช่นนี้ข้าสามารถกินได้แปดขาในมื้อเดียว ตอนนี้เพียงแค่ได้ดมก็พอใจแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ” พูดจบก็เอาขาไก่ใส่เข้าไปในแขนเสื้อ ตบสองทีเพราะรู้สึกว่ามีอะไรตุงออกมา หลับตาลงอีกครั้งและชื่นชมไปกับคำกล่าวของฮ่องเต้ต่อ
เทพสายลมแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว ธงโบกพัดไปทั่วตามแรงลม เมฆดำแทบจะกดทับบนหัวของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครหวั่นไหว แม้แต่เด็กๆ ก็ตั้งใจฟังพระประสงค์ของฮ่องเต้
แรงลมได้พัดพาเสียงของขุนนางกรมมหาดไทยไป แต่ไม่อาจพัดตัวอักษรที่เขียนบนกระดานไม้ใหญ่ไปได้ ประการแรกคือราชวงศ์ ต่อมาคือองค์ชายและขุนนาง เฉิงเหย่าจินเป็นผู้ปกครองเมืองหลู่กัว หนิวจิ้นตาปกครองเขต อวิ๋นเยี่ยเป็นท่านโหวตลอดกาลของเขตหลานเถียน ไม่รู้ว่าเหอเซ่าไปอาศัยบารมีใครแต่ก็ยังไม่ถูกปลดออกจากตำแหน่งขุนนาง ฉินฉยงก็ยังเป็นเจ้าเมืองอี้กั๋วเหมือนเดิม ตำแหน่งผู้ปกครองเมืองเอ้อกั๋วของอวี้ฉือกงยังเหมือนเดิมแต่ได้เพิ่มตำแหน่งแม่ทัพหลวง
คนที่มีรายชื่อดังกล่าวต่างพากันยินดี เฉลิมฉลองให้กันและกัน เพราะว่านี่เป็นรางวัลในช่วงพิธีใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้ไปใครทำผิดแล้วใช่ว่าจะไม่โดนยึดตำแหน่ง นี่คือการปลอบใจขุนนางที่ถูกแต่งตั้งใหม่ของหลี่ซื่อหมิน
เมื่อขุนนางกรมมหาดไทยเขียนคำสุดท้ายเสร็จสิ้น ขณะกำลังจะเดินหันหลังออกไปก็มีเสียงร้องอยู่ใต้กระดานไม้…
“ฝ่าบาท เป็นเช่นนี้ได้เช่นไร กระหม่อมรับใช้ต้าถังมาหลายปี ท่านทำกับกระหม่อมเช่นนี้ได้เช่นไร”
“ไท่ซั่งหวง ท่านพูดอะไรสักอย่างสิ ท่านเป็นคนบอกว่าจะมอบตำแหน่งขุนนางให้กระหม่อม ตอนนี้กลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว กระหม่อมไม่ได้ทำอะไรผิด กระหม่อมไม่ผิด ไท่ซังหวงท่านพูดอะไรสักอย่างสิ ตอนนั้นที่ท่านยกทัพ ตระกูลกระหม่อมก็ประหยัดเงินเพื่อเพิ่มทรัพยากรทางทหาร ตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งขุนนางท่านก็ให้กระหม่อมไม่ได้หรือ”
“ฝ่าบาท หลิวเหวินจิ้งเป็นผู้กระทำความผิดเหตุใดจึงได้รับการแต่งตั้ง ตระกูลของกระหม่อมต้องโทษอันใดจึงต้องโดนคนที่กำลังจะตายกดขี่ข่มเหง…”
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาเจ็ดปีในสมัยรัชศกเจินกวนเต็มไปด้วยเสียงไชโยและเสียงร้องไห้ ในที่สุดก็ได้เริ่มยุคใหม่ หลี่ซื่อหมิน ฮ่องเต้แห่งต้าถังได้ใช้อำนาจเพื่อขจัดความแย้งทั้งหมดของโลกใบนี้ ใช้ประโยชน์จากพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อกำจัดการติดต่อจากอำนาจภายนอก กำหนดราชวงศ์ใหม่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว คนเก่าแก่ในสมัยของหลี่หยวน ขุนนางบางคนที่ต้องประนีประนอมชั่วคราวล้วนอยู่ในการกวาดล้างครั้งใหญ่นี้ ทั้งหมดถอนตัวจากเวทีแห่งประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง เพราะว่ายังมีภรรยาและลูกที่ต้องดูแล บรรดาขุนนางในอดีตเหล่านั้นจึงต้องก้มหัวเพื่อกลืนผลไม้รสขมเช่นนี้
ตำแหน่งรัชทายาทของหลี่เฉิงเฉียนได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางสายลมพัดกระหน่ำ คำประกาศเจตจำนงของโลกได้ถูกลมพัดพาไปเป็นเวลาเก้าวัน เขาได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้ใส่ชุดคลุมห้ามังกร
ตำแหน่งเว่ยอ๋องของหลี่ไท่ไม่ได้อ่อนแอลงแต่กลับแข็งแกร่งขึ้น ซ้ำยังได้ประจำที่ตำหนักอู่เต๋อในฐานะองค์ชาย ฮ่องเต้ได้อนุญาตให้สละตำแหน่งทางการด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังเพิ่มเจ้าหน้าที่ผู้ว่าการเมืองฟูโจว อีกทั้งผู้ว่าการของเมืองทั้งห้าอย่างเมืองเซี่ย เมืองเซิ่ง เมืองเป๋ยฝู่ เมืองเป่ยหนิง และเมืองเป่ยไค เจ้าหน้าที่ที่เหลือยังคงเหมือนเดิม
หลังจากที่หลี่ไท่และหลี่เฉิงเฉียนกอดกันเพื่อแสดงความยินดีซึ่งกันและกันแล้ว พวกเขาได้เรียกร้องให้ไท่ซั่งหวงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองหลวง และประกาศว่าฮ่องเต้ควรรับช่วงต่อทุกเรื่องในศักดินา
ภายใต้ความดีใจทั้งหมด จั่งซุนเดินออกมาจากหลังม่านโดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องมารยาท กอดลูกชายของตัวเองทั้งสองคน เพียงชั่วครู่คำว่ามิตรภาพของพี่น้องก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว ดูเหมือนว่าคำสาปแช่งของหลี่หยวนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธในตอนนั้นจะถูกดับไปหมดสิ้นแล้ว “หากลูกชายของข้าฆ่ากันเอง ลูกชายของเจ้าก็จะเลือดไหลดั่งสายน้ำเช่นกัน” คำสาปแช่งที่ชั่วร้ายนี้กระจายไปตามลมและดินพร้อมกับเลือดที่หลี่หยวนพ่นออกมา จากนั้นก็ไม่มีข่าวอะไรให้ได้ยินอีก
หลี่เค่อและองค์ชายองค์อื่นๆ ต่างก็ได้รับรางวัลมากมายเช่นกัน หลี่เค่อได้รับคำสัญญาว่าไม่ต้องรับราชการ หลี่เค่อที่ไม่ได้สนใจรางวัลอื่นๆ แต่กลับรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมากที่ไม่ต้องรับราชการ ให้อวิ๋นเยี่ยหยิกเขาหลายๆ ครั้งเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดพลาด
เรื่องการแต่งตั้งของพวกองค์ชายไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นเยี่ยเลย แต่ขุนนางกระทรวงมหาดไทยเอาแต่อ่านคำว่า ‘ท่านโหวแห่งเขตหลานเถียน’ อีกครั้ง หากเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าคนรุ่นต่อไปของตระกูลอวิ๋นก็จะเหลือแค่ตำแหน่งนี้เท่านั้น ความหวังที่อยากจะเป็นท่านชายของอวิ๋นเยี่ยได้ดับสลายลง ถามหลี่เค่อด้วยความเซ็งว่า “ต่อให้ข้าอายุแปดสิบก็เป็นได้แค่ท่านโหวหรือ”
หลี่เค่อพยักหน้าอย่างมีความสุขเพื่อแสดงความยินดีกับอวิ๋นเยี่ย บอกว่าตำแหน่งนี้ดีกว่าตำแหน่งองค์ชายธรรมดาเสียอีก ได้เกิดดับไปพร้อมประเทศเลยเชียวนะ
“เด็กคนนี้ช่างไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย ยังไม่รีบเข้าไปขอบคุณความกรุณาของฝ่าบาทอีก” เฉิงเหย่าจินทำท่าทางดูมีเมตตา และหนิวจิ้นต๋าพากันบอกให้เขาเข้าไปขอบคุณฝ่าบาท
“ข้าต้องเป็นท่านโหวไปตลอดชีวิต มีอะไรน่ายินดีด้วยหรือ”
“ตำแหน่งท่านโหวอาจจะไม่มีอะไรน่ายินดี แต่การที่ได้เกิดดับไปพร้อมกับประเทศถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าลูกหลานของเจ้าจะไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่อนาคตก็จะมีตำแหน่งที่มั่นคงอย่างท่านโหวเขตหลานเถียน นับแต่นี้ต่อไปตำแหน่งนี้ก็เป็นของตระกูลเจ้าแล้ว พวกข้าได้เป็นดยุค ทุกรุ่นจะถูกลดระดับหนึ่งขั้น แต่ตำแหน่งของตระกูลเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ แค่ไม่ก่อกบฏก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ต่อให้ก่อกบฏก็ยังมีโอกาสในการขออภัยโทษ หากนี่ไม่ใช่รางวัลใหญ่จะเรียกว่าอะไรได้อีก เป็นตำแหน่งที่ยากจะได้รับ”
เดินเข้าไปในห้องอย่างไม่เต็มใจ หลี่ซื่อหมินและจั่งซุนนั่งอยู่ด้านบนเหมือนพระโพธิสัตว์ที่ปั้นด้วยดินเหนียวสององค์ที่กำลังรอรับการขอบคุณจากทุกคน ในขณะเดียวกันก็มีคำขอบคุณอย่างสุดซึ้งด้วยความจงรักภักดี อวิ๋นเยี่ยยืนหลบอยู่มุมห้องรอให้ผู้อื่นบูชาพระโพธิสัตว์จนเสร็จ ตัวเองเตรียมที่จะเดินก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับ จากนั้นก็ถอยออกมาหนีเข้าไปในฝูงชน
“อวิ๋นเยี่ยอยู่ก่อน เรามีเรื่องจะพูดด้วย” เมื่อได้ยินคำนี้อวิ๋นเยี่ยจึงได้เพียงอยู่ต่อเพื่อรอฟังหลี่ซื่อหมินพูด
“อวิ๋นโหว เราขอให้ตระกูลอวิ๋นของเจ้ารุ่งเรืองไปทุกยุคสมัย ลูกหลานมีอนาคตที่ดี ตระกูลคงอยู่ตลอดไป” หลี่ซื่อหมินยังไม่ได้พูดอะไรจั่งซุนก็พูดขึ้นมาก่อน คำพูดของจั่งซุนทำเอาอวิ๋นเยี่ยตกใจ ประโยคนี้ฟังดูแปลกๆ เหมือนไม่ใช่คำยินดีปกติทั่วไป
“ฮองเฮากล่าวเกินไปแล้ว ตระกูลอวิ๋นคงรับไว้ไม่ได้ขอรับ”
“แน่นอนว่าหากเป็นเมื่อก่อนคงรับไว้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เจ้าคิดว่าการที่ให้เจ้าเกิดดับไปพร้อมกับประเทศฝ่าบาทรับสั่งผิดไปอย่างนั้นหรือ”
“เดิมทีข้ากะว่าเมื่อผ่านไปสักสองสามปีอายุมากขึ้นแล้วก็อยากจะเป็นทำผลงานเพื่อขึ้นเป็นท่านชาย” สำหรับจั่งซุนแล้วอวิ๋นเยี่ยมีอะไรก็มักจะพูดมาตรงๆ ในใจคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น จะได้เข้าใจได้ทั้งสองฝ่าย เพื่อไม่ให้เกินการเดาความผิด
“เจ้าไม่รู้หรือว่าการเกิดดับไปพร้อมกับประเทศหมายความว่าอย่างไร” หลี่ซื่อหมินถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็เพราะว่ารู้จึงไม่อยากจะยินยอมเสียเท่าไหร่ ในภายหลังตระกูลอวิ๋นคงยากที่จะมีทายาทที่โดดเด่นสักหนึ่งหรือสองคน” เขารู้ได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่
“เจ้าพูดประโยคนี้ได้จริงใจเป็นอย่างมาก ความกังวลเกี่ยวกับภัยพิบัติสามารถทำให้ราษฎรและประเทศอยู่รอดได้ การเพลิดเพลินอยู่กับความสบายใจอาจทำให้ราษฎรและประเทศต้องพังพินาศ คิดไม่ถึงว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าจะปฏิบัติตามอย่างง่ายดาย แต่ว่าไอ้หนุ่ม เจ้าคิดว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าจะได้เปรียบคนทั้งโลกอย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นเพียงแค่คนเดียวที่ได้ครอบครองโชคห้าร้อยปีของตระกูลอวิ๋น ความศักดิ์สิทธิ์ของฟ้าดินนั้นจำกัด หากเจ้ามีมากหนึ่งส่วน ลูกหลานตระกูลอวิ๋นก็จะน้อยไปหนึ่งส่วน อย่าใช้โชคสามชั่วอายุคนหมดภายในรุ่นเดียว นี่คือค่าเฉลี่ยความโชคดีที่ลัทธิขงจื๊ออธิบายไว้ ไอ้หนุ่ม หากเจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองนับบุคคลที่มีความสามารถเหลือเชื่อในหนังสือประวัติศาสตร์แล้วดูลูกหลานของพวกเขา เจ้าก็จะเข้าใจเองว่าสิ่งที่เราพูดนั้นคือเรื่องจริง เราตั้งใจที่จะมอบความมั่งคั่งให้แก่ตระกูลอวิ๋นไปอีกชั่วอายุคนเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับสิ่งที่เจ้าได้ทำเพื่อราชวงศ์ เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ
เราดูแล้วในตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นดยุคแล้ว หลิ่งหนาน เหอเป่ย ฉางอัน ทั้งหมดสามเมืองนี้เพียงพอที่จะทำให้เจ้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งกั๋วกง เช่นนั้นหลังจากนี้หากเจ้าทำผลงานสำเร็จแล้วจะให้ข้าให้รางวัลเจ้าอย่างไร แต่ตั้งเป็นองค์ชายหรือ เราไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะแต่งตั้งองค์ชายต่างแซ่ หากแต่งตั้งแล้วคนผู้นี้อย่างน้อยจะต้องมีอายุพอๆ กับเหยียนจือทุยจึงจะไม่มีปัญหาในอนาคต เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเช่นนี้
ไอ้หนุ่ม ได้เป็นท่านโหวก็ดีมากแล้ว ตอนนี้ทำผลงานไว้มากๆ ก็ไม่มีปัญหาในอนาคต ทั้งหมดก็เพื่อเป็นการสะสมโชคให้ลูกหลาน ถึงแม้ว่าในอนาคตลูกหลานรุ่นต่อไปของเจ้าจะเป็นคนโง่เขลา แต่ก็จะร่ำรวยไปทั้งชาติ มีความสุขอยู่ภายใต้ร่มเงาของเจ้า หากฟังเข้าใจแล้วก็รีบไสหัวออกไป ในเมื่อวันนี้เราพูดเช่นนี้ออกไป ไอ้หนุ่ม เจ้าจำไว้ คำพูดเช่นนี้นอกจากฮองเฮาแล้วข้าก็ไม่เคยพูดกับใคร เจ้าเข้าใจหรือไม่”
บนหัวเต็มไปด้วยดาววิ่งวนไปมา อวิ๋นเยี่ยกำลังจะเดินออกไป จั่งซุนก็ได้พูดขึ้นมาว่า “อวิ๋นเยี่ย พิษในตัวของหลี่หยวนชังได้กำเริบขึ้น ตาทั้งสองข้างมืดบอด หมอบอกว่าต่อให้รักษาหายก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาด ใบหน้าจะเสียโฉมตลอดไป ทำได้เพียงแค่หายใจเท่านั้น ฝ่าบาทปลดเขาออกจากตำแหน่งฮั่นอ๋อง อนุญาตให้เขารักษาตัวในเมืองหลวง ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาใครเป็นคนทำ”
“ฝ่าบาทจัดการได้ดีมาก คนทำก็คือหันกุย หันเหยียนเหนียน นอกจากเขาก็เป็นใครไปไม่ได้แล้ว” หลี่ไท่เองยังไม่ได้พูดออกมา ให้ตายอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่บอกบอกฮองเฮาในตอนนี้
หลี่ซื่อหมินยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเราไม่ได้จัดการผิดพลาด เจ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน”
“กระหม่อมรู้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ฝ่าบาทจัดการนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว สมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก” อวิ๋นเยี่ยก้มหัวลงเอาเท้าบดขยี้ หากหลี่ซื่อหมินจัดการลูกตัวเองนี่สิจึงจะแปลก ดังนั้นจึงตอบกลับไปอย่างหนักแน่น
จั่งซุนทำสายตาเอือมระอา เหมือนว่าจู่ๆ ก็นึกอะไรออกบางอย่างจึงพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “หม่อมฉันคิดว่าการจัดการของท่านไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสม การทำเช่นนี้นั้นดีที่สุดแล้ว”
หลี่ซื่อหมินและฮองเฮามองตาแล้วพยักหน้าพร้อมกัน ไม่มีอะไรจะถามอวิ๋นเยี่ยอีกจึงให้ขุนนางกรมพิธีกรรมส่งอวิ๋นเยี่ยออกไป
พึ่งจะออกมาจากห้องของหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยก็เห็นวั่งไฉกำลังวิ่งวนไปมารอบตัวซินเย่ว พ่อบ้านเฉียนพาคนใช้กลุ่มใหญ่จูงรถม้ามารออยู่ที่นอกกระโจม ไม่ได้ระบุว่าชนชั้นล่างไม่ได้ถูกอนุญาตให้มาในระหว่างพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ ทำไมคนรับใช้ของแต่ละตระกูลจึงได้จูงรถม้ามาถึงที่นี่ได้
มองดูไม้กระดานที่ขยับไปมาท่ามกลางสายลมสักพักหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยจึงได้เข้าใจทุกอย่าง หลี่ซื่อหมินไม่ได้กำลังระลึกถึงท่าป๋าหง แล้วก็ไม่ได้กำลังระลึกถึงฮ่องเต้หวงตี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือผลประโยชน์ที่แท้จริง
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 20 งานเลี้ยงบนแม่น้ำชวีเจียง (...
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เสร็จสิ้น ที่เหลือคือช่วงเวลาฉายเดี่ยวของหลี่ซื่อหมิน เมื่อบวงสรวงสวรรค์เสร็จแล้วก็ต้องบวงสรวงบรรพบุรุษ เมื่อบวงสรวงบรรพบุรุษเสร็จก็ต้องบวงสรวงวิญญาณเหล่าทหารกล้าที่ตายในสนามรบ
บรรดาพระภิกษุได้สร้างวัดสวยงามที่ริมฝั่งแม่น้ำชวีเจียง พระมหาเถระจากทั่วทุกสารทิศมารวมกันที่นี่เพื่อสักการะวิญญาณของผู้ตายด้วยควันธูป
บรรดาสตรีและนักปราชญ์แต่งกายสวยงามที่ในวันธรรมดามักจะเขียนกลอนเฉลิมฉลองที่ริมฝั่งแม่น้ำชวีเจียงกลับไม่พบเห็นแล้ว เหลือเพียงแค่มหาสมุทรสีแดง เสียงพระสวดดังกังวาน ข้าวห้าสีถูกเทลงในน้ำเหมือนของไม่มีคุณค่า ปลาคาร์ฟอวบอ้วนในแม่น้ำชวีเจียงได้กลายเป็นแขกมากินเมล็ดข้าว
“เงินสิบล้านเหรียญได้ถูกส่งออกไปยังดินแดนอันไกลโพ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าวิญญาณของผู้ตายนั้นไปสู่สุคติหรือไม่” จั่งซุนเก็บพัดแล้วชี้ไปที่วัดต้าสืออัน ดื่มเหล้าในจอกจนหมดแล้วบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “หากวิญญาณเหล่าทหารที่อยู่ภายใต้คำสั่งของข้าได้รับการปลดปล่อย ข้าคุกเข่าสักสามวันสามคืนจะเป็นไรไป”
ขาของหลี่ไท่มีปัญหาเล็กน้อยเพราะปู่ของเขาเป็นคนตีเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น วันนี้ได้ยินมาว่าจั่งซุนชงกำลังจัดงานเลี้ยงที่แม่น้ำชวีเจียง ต่อให้เจ็บจนเดินไม่ได้ก็ต้องมา งานเลี้ยงนี้มีชื่อเรียกว่างานเลี้ยงวีรบุรุษวัยเยาว์ อย่างไรตัวเองก็ถือว่าเป็นวีรบุรุษหนุ่ม ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มา
เจ้าภาพงานเลี้ยงคือหลี่เฉิงเฉียน ความจริงแล้วจั่งซุนชงเป็นเพียงแค่คนส่งบัตรเชิญ องค์รัชทายาทไม่สะดวกเชิญคนไปงานเลี้ยงได้อย่างโจ่งแจ้งจึงต้องยืมชื่อของจั่งซุนชงนั่นเอง
องค์ชายและขุนนางต่างมาถึงกันแล้ว อวิ๋นเยี่ยได้ยินมาว่ามีเพลงร่ายรำที่สุดยอด งานเลี้ยงสุดหรู สาวงามที่ไม่ใส่เสื้อผ้ากำลังหยอกล้ออยู่กับเฉิงฉู่มั่วในขณะเดินขึ้นเรือ
“สหายหวยเหริน สีหน้าดูเบิกบานเช่นนี้ หรือว่าเป็นพรที่ได้รับจากพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์” ในรายชื่อแก้แค้นของหลี่ไท่ไม่มีรายชื่อหลี่หวยเหรินอยู่ในนั้น แต่ว่าเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย มีต่อตัวหนึ่งไม่ได้ตามไล่ล่าหลี่หยวนชัง แต่มันกลับไปทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของเขา จนถึงวันนี้ใบหน้าของเขาข้างหนึ่งยังคงปูดบวม
“โชคร้ายเสียจริง ข้าต้องมาโดนลูกหลงไปด้วย เมื่อวานข้าไปที่บ้านหันกุยกะจะทุบทำลายข้าวของเพื่อระบายความโกรธ เมื่อไปถึงจึงได้พบว่าสาวใช้ของเขาหนีไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่แม่ที่แก่เฒ่า เมียและลูกเล็ก ข้าจึงทำลายข้าวของไม่ลง จึงใช้ค้อนทุบรูปปั้นสิงโตที่เฝ้าอยู่หน้าบ้านเขาแล้วก็กลับไป ตอนนี้ข้าขอเปลี่ยนใจได้หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยยกนิ้วโป้งเป็นการชื่นชม ผู้หญิงตระกูลหันเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ช่วงนี้ก็อยู่แต่ในบ้านเพื่อรอให้ศัตรูในอดีตมาแก้แค้นจึงตั้งใจเนรเทศคนรับใช้ออกไปทั้งหมด เมื่อศัตรูมาถึงก็พาทั้งครอบครัวออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ยอมให้ตีให้ด่าโดยไม่ตอบโต้ ต่อให้ทุบแผ่นป้ายของบรรพบุรุษก็ไม่ชักสีหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ตราบใดที่ไม่มีความเกลียดชังจนถึงขั้นฆ่าพ่อฆ่าแม่ เขาก็จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ปล่อยความขัดแย้งในอดีตผ่านไป เพื่อให้ลูกหลานของตัวเองออกจากวนเวียนนี้
อย่างเช่นคนที่ติดกับอย่างหลี่หวยเหริน หากพูดไปตามเหตุที่เกิดขึ้นแล้วเขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หากต่อสองตัวไล่ต่อยเขาก็ถึงขั้นเอาชีวิตเขาไปได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเมื่อผู้หญิงคนนั้นแสดงความน่าสงสารเขาก็ทุบเพียงแค่สิงโตหินแล้วก็กลับ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก นับจากนี้ตระกูลหันคงยังมีความหวังอยู่บ้าง
“ชิงเชวี่ย ทำไมเส้นทางเดินของเจ้าจึงได้ลำบากเช่นนี้ หรือว่าเจ้ามีบางอย่างที่ไม่อาจพูดได้” อวิ๋นเยี่ยตีไปที่ก้นหลี่ไท่เพื่อปัดดอกหญ้าที่ติดก้นของเขาออกให้ด้วยความหวังดี เมื่อได้ยินเสียงเขาร้องเพราะความเจ็บปวด ในใจก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าช่วยใจกว้างสักหน่อยไม่ได้หรือไง เสียเปรียบแค่เล็กน้อยก็ยังจะเอาความ” หลี่เฉิงเฉียนเข้าไปพยุงน้องชายของเขาพาไปนั่งที่เบาะรองนั่งแล้วหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ย
หลี่เค่อที่กำลังดื่มชาได้พูดกับหลี่เฉิงเฉียนว่า “พี่ใหญ่ มันมีเหตุผลอยู่ในนั้น ที่ก้นเป็นแผลก็เพราะเขาหาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นเคราะห์กรรมในวันนี้เราสองคนต้องโดนเสด็จพ่อสั่งสอนทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย คุกเข่าที่ตำหนักฉางชุนมาสองชั่วโมง เจ้าไม่เจ็บเข่าหรือ ทำไมข้ายังรู้สึกปวดร้าวอยู่เลย ก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น โชคร้ายก็โชคร้ายไปไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว แต่ปัญหาก็คือคนที่ได้รับโทษมากที่สุดเกร็งว่าจะเป็นตัวอวิ๋นเยี่ยเอง หากไม่ใช่เพราะคืนนั้นเขากำลังเดิมพันอยู่กับไท่ซั่งหวง ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ล้างให้บริสุทธิ์ไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็ไม่แปลกถ้าเขาจะระบายความโกรธ เจ้าดูสิ ข้าไม่เห็นจะแปลกใจเลยสักนิด”
สองสหายคุยกันเสียงเบา ไม่ได้ไปรบกวนพวกเหล่าขุนนางที่กำลังถือจอกเหล้าหรือจอกชาอยู่ บนฝั่งมีชายหัวล้านมากมาย แค่มองเห็นก็รู้สึกตลก ใครจะไปสนใจฟังเสียงกระซิบของคนอื่นกัน
“พระภิกษุผู้นั้นดูแปลกเสียจริง มีรอยยุบอยู่ด้านบนหน้าผาก หรือว่าเขาจะโดนค้อนขนาดใหญ่ทุบแต่กลับยังไม่ตาย พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ นับถือ นับถือ”
“เจ้าเห็นผู้ชายพายเรือบนฝั่งผู้นั้นหรือไม่ พระเจ้า นั่นมันเรือเหล็ก พายเรือบนบกไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาใช้สองเท้าเดินไม่ได้หรืออย่างไร ทำไมต้องพายเรือบนบก”
“อย่าพูดอะไรงี่เง่า นั่นคือนักพรต ว่ากันว่าการทรมานร่างกายจะทำให้ตรัสรู้ได้ ธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปคือ หากหน้าผากบุบลงไปเรียกได้ว่าเป็นพระภิกษุผู้สำเร็จแล้ว จะลบหลู่ไม่ได้”
เหล่าลูกเศรษฐีไม่ปล่อยไปแม้กระทั่งเรือเล็กๆ ที่แล่นผ่านเรือของพวกเขา พากันโยนเม็ดผลไม้ พุทรา ผลไม้แห้ง ผลไม้แช่บ๊วยลงไปไม่หยุด พระภิกษุเหล่านั้นสมกับเป็นพระภิกษุชั้นสูง พวกเขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ทำตัวเหมือนทนรับกรรม แต่ความเศร้าบนใบหน้าเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ฐานะของพุทธศาสนาไม่ดีเท่าไหร่ เมื่ออยู่ในหลี่ถังพวกเขาต้องพบเจอกับการถูกปราบปรามอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน กว่าจะรอให้มีแสงแห่งความหวังอันริบหรี่ขึ้นมานั้นไม่ง่ายเลย แต่กลับถูกชื่อเสียงของซุนซือเหมี่ยวผู้เป็นที่รักของราษฎรทำลายจนหมดสิ้น ไต้ซือเสวียนจั้งก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ การทำพิธีบูชาครั้งนี้ถือเป็นการแสดงความสามารถของพวกเขา พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงทั้งหมดในต้าถังได้พากันหลั่งไหลเข้าสู่เมืองฉางอันเพื่อทำหน้าที่บูชาพระสูตร
การมีพระภิกษุเฒ่าเยอะแยะมากมายย่อมเป็นทุกข์ของพุทธศาสนา เพราะแสดงให้เห็นว่าไม่มีผู้สืบทอดต่อไป ต้าถังเข้มงวดเป็นอย่างมากในการออกใบรับรองให้แก่พระภิกษุ การโกนหัวเป็นการส่วนตัวถือเป็นโทษร้ายแรง ทางราชการอยากได้ทรัพย์สมบัติของวัดมาเป็นของตัวเองมานานแล้ว ขอเพียงแค่ฝ่าฝืนคำสั่งก็จะรีบบุกรุกอย่างรุนแรง บางทีก็จ้างคนให้แกล้งเป็นคนตกทุกข์ได้ยากมาขอบวชอยู่ที่วัด เจ้าอาวาสอดเห็นใจไม่ได้จึงได้โกนหัวให้จากนั้นค่อยไปขอใบรับรอง แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อทางการมา คนที่ขอให้โกนหัวก็รีบร้องขอความช่วยเหลือทันทีบอกว่าทางวัดบังคับให้บวช จุดจบไม่ต้องบอกก็รู้ พระภิกษุเหล่านั้นได้รับมอบหมายให้ทำงานอย่างหนักในเหมืองแร่ ข้างในนั้นไม่ขาดแคลนพระเกจิ หากเริ่มทำการขัดขืนก็จะไม่มีทางรอดอีกต่อไป
จั่งซุนชงรู้สึกเศร้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะถูกดึงดูดจากกลุ่มผู้หญิงที่เหอเซ่าพามา โดยเฉพาะผู้หญิงบางคนที่มีดาบยาวและแต่งกายดูแข็งแรงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด ท่านน้ากงซุนเข้าวังแล้วคงไม่ได้เห็นนางอีกแล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เอานางไปซ่อนไว้ส่วนไหนของวัง
เหอเซ่าพึ่งจะพูดไปได้สองประโยคก็เห็นชายหนุ่มที่สวมมงกุฎสีม่วงทองชี้ไปที่ประตูด้วยความโกรธเคืองเป็นการไล่เขาออกไป เขาคือไฉหลิ่งอู่ ลูกชายคนโตขององค์หญิงผิงหยาง ไฉหลิ่งอู่มักจะยึดถือในยศถาบรรดาศักดิ์เป็นอย่างมาก เหอเซ่าเดินตามเส้นทางของตระกูล เขาจึงได้รักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ ดังนั้นการที่ได้เห็นเหอเซ่าในงานเลี้ยงกลุ่มวีรบุรุษก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
เหอเซ่าที่ผ่านโลกมามากไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย ก้มหัวแล้วพูดว่า “ท่านชาย ข้าเพียงแค่มาส่งนางรำให้แก่เหล่าขุนนางทั้งหลาย ไม่ได้จะอยู่นาน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
พูดจบก็หันหลังแล้วเดินออกจากประตูไป พึ่งจะก้าวออกมาจากประตูก็เห็นอวิ๋นเยี่ยยืนกลั้นหัวเราะมองเขาอยู่ ใบหน้าแดงก่ำ คว้าแขนอวิ๋นเยี่ยเดินออกไปด้วยกันแล้วพูดว่า “ท่านพี่อวิ๋นอย่าหัวเราะข้า ครั้งนี้ข้ารับความเมตตาอันยิ่งใหญ่จากเฉียวกง การยอมให้ลูกชายคนโตของเขาเป็นเรื่องที่ควรทำ เจ้าอย่าเพิ่มปัญหาให้ข้า เจ้าเด็กโง่ผู้นั้นไม่มีค่าพอให้เจ้าเอาเรื่อง ตอนที่เราสองคนอยู่ที่ฉ่าวหยวน เฉียวกงก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ควรไว้หน้าเขาสักหน่อย ทำเป็นมองไม่เห็นเสียก็สิ้นเรื่อง”
การที่เหอเซ่าสามารถอยู่ในเมืองฉางอันที่ปั่นป่วนแห่งนี้ได้ก็เหมือนปลาที่กลมกลืนไปกับน้ำ ย่อมมีทางรอดของเขาอยู่แล้ว คราวนี้มีขุนนางหลายรายที่ตกกระป๋อง เป็นเรื่องยากที่พ่อค้าอย่างตระกูลเหอจะรอดจากพายุฝนครั้งนี้ไปได้
“ในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้ายุ่งแล้วข้าจะยุ่งไปทำไม ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพึ่งได้ซื้อที่ดินในฉางอันมาเป็นจำนวนมาก เจ้าต้องการจะทำอะไร กะจะสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางแห่งที่สองหรือ อย่าเลี้ยงหมูให้มันอ้วนมากเกินไป เจ้าดูฮันฮันที่บ้านข้าสิ ตอนนี้ขนาดเดินยังลำบาก คงอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของเสี่ยวยา ข้าจับมันข้ากินไปนานแล้ว เจ้าเองก็ใกล้แล้วเช่นกัน ข้าจะบอกอะไรให้ กิจการของเจ้าครั้งนี้ตระกูลอวิ๋นจะไม่ยุ่ง ข้าต้องการหลบทางเดินของเจ้า”
เหอเซ่าเกิดรีบร้อนขึ้นมา รีบถามเหตุผลว่าเพราะอะไร เงินทองยิ่งเยอะยิ่งดีไม่ใช่หรือ จะมีปัญหาได้อย่างไร
“เจ้าเองก็เป็นคนฉลาดที่หาได้ยาก คงรู้ว่าตอนนี้ราชสำนักคิดอย่างไรกับพ่อค้า เมื่อกิจการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ภาษีการค้าคิดเป็นสามในสิบส่วนของรายได้รวมทั้งหมดในคลังหลวง ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในฉางอันเมื่อก่อน อย่างมากก็จะคิดเป็นสัดส่วนสามในสิบส่วน ข้าได้ยินมาว่าเว่ยอ๋อง อวี๋ซื่อหนาน หลิวเจิ้งฮุ่ย สามคนนี้กำลังไตร่ตรองว่าจะควบคุมภาษีด้านการค้าอย่างไร เจ้าระวังจะถูกเด็กๆ เหล่านั้นถอนหงอกเอา”
ใบหน้าอ้วนของเหอเซ่าซีดไปในทันที กิจการของเขานั้นใหญ่เกินไปแล้ว ไม่สามารถยุติลงได้ภายในเวลาอันสั้น ถึงอยากจะตัดหางทิ้งแต่ก็เจ็บเกินไป ได้แต่ถอนหายใจรอให้อวิ๋นเยี่ยช่วยเขาออกความคิดเห็น
“ตอนนี้เฉียวกงเป็นตัวเลือกที่ดี เขาไม่มีตำแหน่งทางทหารแล้วจึงอยู่บ้านไม่ออกไปไหน เจ้าและลูกน้องเก่าของเขาสนิทกันมาก เจ้าควรไปหาเขาให้ช่วยออกความคิดเห็นให้เจ้า ดูท่าทางของลูกชายเขาที่มีต่อเจ้าสิ ครอบครัวเขาก็ไม่อยากจะพัวพันกับเจ้ามากนัก ต้องปีนขึ้นเสาทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตาย ยังหาเงินได้ไม่พออีกหรืออย่างไร”
พูดกับเขาไปตรงๆ อย่างไรเมื่อก่อนก็ถือว่าเป็นสหายกัน หลายปีมานี้ได้ถูกเงินทองบังตา มองสถานการณ์ไม่ออก เพียงแค่บ้านของเขาคนเดียวก็หรูหรากว่าตำหนักองค์ชายแล้ว ได้ยินมาว่ายังมีแผนที่จะขยายออกไปอีก
ตบไหล่เหอเซ่าสองทีแล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกเพื่อบอกว่าการเต้นรำในห้องได้เริ่มขึ้นแล้ว
คำพูดในบัตรเชิญของจั่งซุนชงไม่ผิดเพี้ยนไปแม้แต่นิดเดียว นางรำที่อยู่ด้านในนุ่งน้อยห่มน้อย เปลือยหน้าท้องและแผ่นหลัง ใส่ชุดบางๆ เต้นอยู่ด้านในบิดไปบิดมา มองไม่เห็นขาแต่รูปร่างของสะโพกที่เหมือนน้ำเต้าใต้ผ้าบางๆทำให้คนเดือดพล่าน
อย่าดูถูกว่าไฉหลิ่งอู่อายุน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีประสบการณ์ ตราบใดที่นางรำที่ริมเหล้าหกใส่เขาหน้าตางดงามก็รู้ได้เลยว่ามือของผู้ชายคนนี้ที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นไม่ซื่อสัตย์
มือที่ไปจับปลาเค็มมายังไม่ล้างให้สะอาดก็เอามือไปหยิบขาไก่ เจ้านี่ซกมกจริงๆ อวิ๋นเยี่ยลากโต๊ะของตัวเองไปไว้ที่ริมหน้าต่าง เพื่อจะได้ไม่มีใครมาแตะต้องอาหารบนโต๊ะของตัวเองได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น