เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 14-15
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 14 พิธีที่ยิ่งใหญ่
อวิ๋นเยี่ยนั่งปอกข้าวโพดที่ถืออยู่ในมืออย่างขยันขันแข็งอยู่ใต้ชายคาเพียงลำพัง เมล็ดข้าวโพดสีเหลืองค่อยๆ ตกลงไปในตะกร้า อวิ๋นน้อยกำลังนั่งอยู่ในรถหัดเดิน วิ่งไปทางทิศตะวันออกทีวิ่งไปทางตะวันตกที ยั่วให้วั่งไฉคอยหลบซ้ายหลบขวาอยู่ตลอด ตอนนี้เด็กคนนี้กำลังฝึกเคี้ยว หยิบจับอะไรได้ก็เอามากัด ต้นขาของวั่งไฉก็เป็นอย่างหนึ่งที่ถูกกัดไปแล้วหลายครั้ง
ตอนนี้วั่งไฉกำลังจะเป็นพ่อม้าแล้ว ม้าอาหรับสี่ตัวตั้งท้องแล้วสองตัว แต่นอกจากหว่านเมล็ดลงไปแล้วมันก็ไม่คิดจะสนใจอะไรทั้งนั้น ม้าตัวเมียที่ตั้งท้องอยากจะเข้าไปกินอาหารในรางของมันสักคำสองคำ ก็ทำได้แค่จินตนาการเท่านั้น พวกมันถูกสามีที่ไร้หัวใจของตัวเองเตะพร้อมกับกัดเพื่อไล่ออกไปจากคอก
ตอนนี้วั่งไฉไม่ค่อยได้ไปที่ตลาดสักเท่าไร มันไม่พอใจกับการจัดหาวัสดุของต้าถังเหมือนกับอวิ๋นเยี่ย มีแต่ของกินเดิมๆ มันกินจนเบื่อหมดทุกอย่างแล้ว
เมื่อสักครู่อวิ๋นเยี่ยแอบป้อนข้าวโพดฝักใหญ่ให้กับวั่งไฉ เขาจึงถูกท่านย่าที่นั่งอยู่ข้างหลังเอาไม้เท้าทุบกระดูกสันหลังไปตั้งหลายที ตั้งแต่ครั้งก่อนที่กินข้าวโพดไป ท่านย่าก็ห้ามไม่ให้ที่ตระกูลกินอีกเด็ดขาด แล้วยังออกคำสั่งให้องครักษ์เฝ้าไร่ข้าวโพดด้วยตัวเอง ไม่อนุญาตให้ใครมาแตะต้องข้าวโพดในไร่อีกเด็ดขาด
ตอนนี้ก้านข้าวโพดกลายเป็นสีเหลืองอร่ามหมดแล้ว หูข้าวโพดใหญ่ๆ ก็ห้อยลงมา ท่านย่าจึงอนุญาตให้พ่อบ้านพาคนไปเก็บข้าวโพดแล้วขนกลับมาที่บ้าน หยิบเมล็ดข้าวโพดจากตะกร้าขึ้นมา ท่านย่ายิ้มราวกับพระโพธิศักดิ์ นางหรี่ตายิ้มแล้วพูดว่า “หลานชายที่รัก เจ้าดูสิ ข้าวโพดที่สวยงามถึงเพียงนี้ เมล็ดข้าวโพดนี้ใหญ่กว่าข้าวสาลี เมล็ดข้าว ข้าวฟ่าง และลูกเดือยตั้งเยอะ เมล็ดพืชที่มีหูใหญ่เช่นนี้ช่างเป็นของดีจริงๆ มีแค่ตระกูลเราที่มีของสิ่งนี้ ถึงตอนนั้นก็ให้พวกชาวบ้านปลูกข้าวโพดกันให้หมด นี่ช่างเป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เลย”
วั่งไฉเห็นว่าท่านย่าถือข้าวโพดอยู่ในมือ มันคิดว่านางกำลังจะเอามาป้อนมัน มันจึงรีบยื่นหน้าเข้ามาเลียข้าวโพดในมือของท่านย่า สุดท้ายจึงถูกท่านย่าตบที่หน้าผากเข้าให้ทีหนึ่ง มันจึงรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เตรียมที่จะออกไปเอาศักดิ์ศรีของตัวเองกลับคืนมาที่ตลาดแทน
“หลานสะใภ้ของท่านกำลังยุ่งอยู่กับการตากเงิน ทำไมท่านถึงไม่ไปดู คอยดูข้าปอกข้าวโพดอยู่ได้ ของขวัญที่จะเอาไปมอบให้แก่ฮ่องเต้ ให้คนใช้ไปทำก็ได้ ทำไมต้องให้ข้ามาทำอะไรเช่นนี้ด้วยตัวเองเล่า”
“ไอ้หยา หลานรัก หลานสะใภ้ตากเงินจะมีอะไรน่าสนใจ หนาวเย็นเช่นนั้นไม่มีอะไรน่าดู ไม่รู้จริงๆ ว่านางไปเอาความสนใจมาจากไหน สามารถเอาเงินทั้งหมดที่อยู่ในคลังออกมาได้ เชือกที่มัดเหรียญทองแดงก็ขาดหมดแล้ว ตอนนี้ยังต้องเอาออกมามัดทีละเหรียญ แล้วยังบอกให้มัดแค่เก้าร้อยเหรียญ บอกย่าว่าเหรียญเงินสองเหรียญแลกเหรียญทองแดงได้แค่นี้ มัดเยอะเกินไปตระกูลจะเสียเปรียบ ช่างไม่เหมือนกับสะใภ้ของตระกูลอวิ๋นเอาเสียเลย สะใภ้ของตระกูลเราจะเห็นแก่เงินเช่นนี้ได้อย่างไร”
พึ่งจะพูดจบก็เห็นน่ารื่อมู่ออกมาจากลานข้างๆ ท่าทางลับๆ ล่อๆ มีท้องป่องยื่นออกมาราวกับตั้งครรภ์อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าท่านย่ากับท่านพี่อยู่ที่นี่ นางจึงเดินเข้ามาโค้งคำนับทำความเคารพ ท่านย่ายิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่อวิ๋นเยี่ยกลับอับอาย เขาพูดด้วยสีหน้าที่มืดมนว่า “ในเมื่อขโมยเงินมาแล้วก็ซ่อนเอาไว้ให้ดี อย่าให้ถูกจับได้แล้วร้องห่มร้องไห้อีก เจ้ารู้อยู่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นบ้าไปแล้ว ตอนนี้นางเห็นคนอื่นแตะต้องเงินไม่ได้เลย”
น่ารื่อมู่หน้าแดงส่งยิ้มให้ท่านย่าและรีบเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้เมื่อก่อนไม่เคยรู้ถึงความสำคัญของเงิน ไม่ว่าซินเย่วจะให้เงินนางเท่าไรนางก็รับมาอย่างมีความสุข ตอนนี้อาศัยอยู่ที่บ้านนี้มาแล้วสองปี ในที่สุดก็ใช้เงินเป็น เงินจึงไม่พอใช้ เป็นเรื่องปกติที่มักจะแอบหยิบเอาจากกระเป๋าของอวิ๋นเยี่ยสองสามเหรียญ
ไม่ใช่ว่าซินเย่วไม่ได้ให้เงินนาง แต่ให้ไปแล้วสองสามวันก็หมด เงินห้าสิบเหรียญที่เพียงพอสำหรับครอบครัวเล็กๆ ใช้ได้ตั้งสิบปี แต่เมื่อตกมาอยู่ในมือนางคงไม่เกินสิบวันอย่างแน่นอน หากซื้อของที่มีประโยชน์กลับมาก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นางมักจะซื้อหม้อเหล็ก พลั่ว และมีดกลับบ้าน คนที่รู้ก็จะรู้ว่านางจะขนกลับไปยังฉ่าวหยวน แต่คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าตระกูลอวิ๋นกำลังเตรียมจะก่อกบฏ
วันธรรมดาๆ ก็เป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อซินเย่วถือไม้ปัดขนไก่ไล่ฆ่านาง ท่านย่าทำสีหน้าไม่พอใจ น่ารื่อมู่วิ่งออกมาจากห้อง เสแสร้งทำเป็นลูกหลานกตัญญูเข้ามาหลบอยู่ขางหลังของท่านย่า ทำให้ซินเย่วไม่กล้าลงไม้ลงมือต่อ นางกัดฟันและโค้งคำนับให้กับท่านย่า จากนั้นก็กลับไปเฝ้าเงินที่อยู่ลานข้างหน้าต่อ บางทีตอนนี้เสี่ยวยาก็คงไม่สบายใจอยู่บ้าง
อวิ๋นน้อยนั่งบนรถหัดเดินก้าวเท้าเตาะแตะเข้ามาหาท่านย่าอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ทำให้ท่านย่ายิ้มหน้าบานทันที ตั้งแต่เจ้าตัวน้อยคนนี้เกิดมา สถานะของหลานชายจอมล้างผลาญของนางก็ลดด้อยลงไปมาก ซึ่งหลานชายคนโตได้เติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปนี้ทันที เขาคว้าอาหารในชามบนโต๊ะมากิน ยิ้มอย่างมีความสุข นางหยิบอาหารที่ติดอยู่ที่เท้าของอวิ๋นน้อยออก กลัวเจ้าตัวจะเอาของไม่ดีเข้าปากแล้วกินตามใจชอบ และหากจะเอาแจกันเครื่องครามดีๆ มาเป็นของเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงก็ย่อมต้องได้อยู่แล้ว
ในที่สุดก็ปอกข้าวโพดเสร็จตอนพระอาทิตย์ตกดินพอดิบพอดี อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ามือของเขารวดร้าวไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เพียงแค่กำหมัดยังเป็นเรื่องยาก ท่านย่าค่อยๆ เกลี่ยข้าวโพดอย่างระมัดระวัง หยิบเมล็ดที่ไม่ดีออกมา ฮ่องเต้จะจัดเทศกาลฉงหยางที่เขาหนานซัน ได้ยินมาว่าจะมีทูตมามากกว่าสามร้อยคน จะเชิญมาทุกดินแดน แม้แต่ข่านเจี๋ยลี่ของหงหลูซือ รัชทายาทของชนเผ่าเกาชังก็มาด้วย ถึงตอนนั้นจะมีการร่ายรำที่สง่างาม แสดงความยินดีกับฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว
ฐานทัพในเขาหนานซันถูกเหล่าทหารม้ากว่าสามหมื่นนายล้อมรอบไว้อย่างแน่นหนา คาดว่าแม้แต่บ้านของหนูในถ้ำหน่วยข่าวกรองก็คงไปเยี่ยมชมมาแล้ว ตลาดฉางอันต้องอยู่ภายใต้การควบคุมถึงสามวัน ชาวบ้านที่ออกมาจากตรอกเห็นว่าตอนนี้เมืองฉางอันได้กลายเป็นทะเลสีแดงไปหมดแล้ว คนจัดงานในครั้งนี้คือหงหลูซือร่วมกับกรมพิธีกรรม ทั้งๆ ที่มีทรายสีเหลืองแต่ก็ไม่ใช้ เอาทรายผงละเอียดสีแดงจากเขาเป่ยซันมาปูบนพื้นถนนของฉางอัน อวิ๋นเยี่ยเห็นแร่ธาตุอยู่ในเม็ดทรายสีแดง คนพวกนี้ไม่ชอบที่ทรายยังแดงไม่พอ จึงจงใจเพิ่มแร่ธาตุเข้าไปตามสัดส่วน ไม่รู้ว่าตระกูลของใครในกรมกระทรวงพิธีกรรมที่ขายแร่ธาตุสีแดง
ในใจรู้สึกเสียดายไม่น้อย ทำไมต้องเอาข้าวโพดไปมอบให้ฮ่องเต้มากมายเท่านี้ ตอนนี้ตัวเองต้องมาแบกข้าวโพดเดินบนถนน ด้านหนึ่งมัดข้าวโพดไว้สิบกว่าฝัก อีกด้านหนึ่งเป็นเมล็ดข้าวโพดสีเหลืองห่อด้วยผ้าไหมสีแดง ดูแล้วน่าจะหนักสิบห้ากิโลกรัม แค่เดินจากไร่มาถึงเขาหนานซันก็แทบจะตายอยู่แล้ว ส่วนรถม้านั้นจะมีให้ใช้แค่ไท่ซั่งหวง ฮ่องเต้ ฮองเฮาและรัชทายาท คนอื่นๆ ไม่ได้โชคดีแบบนั้น แม้แต่แขกผู้มีเกียรติที่สุดอย่างเหยียนจือทุยก็ยังนั่งรถเข็มสี่ล้อที่มีหลานชายของเขาคอยเข็นเข้ามา คนที่มาพร้อมๆ กันนั้นก็มีรถเข็นของหลี่กัง สำหรับคนอย่างอวิ๋นเยี่ย เขาทำได้แค่แบกสัมภาระของตัวเองเดินขึ้นมายังเขาหนานซัน ตั้งสามสิบไมล์เลยทีเดียว
ทว่าทิวทัศน์ก็ดูไม่เลวเลย มีแขกผู้หญิงที่พากันสวมผ้าปิดหน้าและเครื่องแต่งกายหลากสีสัน หากลมพัดมาครั้งหนึ่งก็ยังพอแอบดูหน้าได้ แต่ผู้หญิงอ้วนคนนั้นเป็นภรรยาของใครกันนะ
รอม้าของไท่ซั่งหวงแล่นผ่านไปแล้ว มีเสียงดังออกมาจากรถม้า ชายเฒ่าบ้ากามคนนี้ไปเข้าร่วมพิธีด้วยก็นับได้ว่ามันคือความโชคร้ายของหลี่ซื่อหมิน ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไมชายเฒ่าคนนี้ถึงได้กระตือรือร้นมากขึ้น แค่สองปีก็ผลิตน้องชายน้องสาวออกมาให้หลี่ซื่อหมินเพิ่มอีกสามคน และแม่ของพวกเขาไม่มีใครอายุเกินสิบหกแม้แต่คนเดียว
จั่งซุนชงก็แบกอะไรมาเหมือนกัน ในนั้นมีแต่เมล็ดพันธุ์ ดูจะหนักมาก ด้านหน้าสุดมีต้นข้าวมัดอยู่ ล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่คัดเลือกมาแล้วเป็นอย่างดี เมล็ดพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์ รวงข้าวหนักและมีความยาวกว่าครึ่งฟุต แค่เพียงดูก็รู้สึกดีแล้ว ท่านพ่อของเขาเขย่าด้ามพัดขณะเดินช้าๆ ไปพร้อมกับกองทัพเล็กๆ ส่วนเจ้านั่นก็แบกเมล็ดพันธุ์เดินตามมาอยู่ข้างหลัง
เฉิงฉู่มั่วก็เดินตามท่านพ่อของตนอยู่ข้างหลังเช่นกัน แต่จะว่าไปเขาก็น่าอนาถกว่านิดหน่อย หนิวเจี้ยนหู่ไปเมืองไห่โจวแล้ว เขาจึงต้องแบกสัมภาระสูงๆ เดินไปตามถนน นี่คือของขวัญจากตระกูลหนิวและตระกูลเฉิง
รถม้าของฮ่องเต้แล่นผ่านไปอีกคัน ตามด้วยรถม้าของฮองเฮาก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน คันสุดท้ายที่วิ่งเข้ามาเป็นรถม้าขององค์รัชทายาท หลี่เฉิงเฉียนนั่งหน้าแข็งทื่ออยู่ข้างใน น้องชายน้องสาวของเขาต่างก็แบกสัมภาระเดินตามอยู่ข้างหลัง มีแต่เขาที่นั่งรถม้า ความรู้สึกเช่นนี้คงจะอึดอัดไม่น้อย โดยเฉพาะภรรยาที่ตั้งครรภ์ของเขาก็เดินอยู่ในกลุ่มผู้หญิง การนั่งรถม้าของเขาครั้งนี้คงจะไม่ได้สบายอย่างที่คิดเท่าไร
ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครเห็น อวิ๋นเยี่ยแอบเอาสัมภาระโยนขึ้นรถม้า ช่วยพยุงภรรยาของรัชทายาท และยังปล่อยโหวเหลียนเอ๋อร์ออกมา เอาสัมภาระของนางโยนขึ้นไปบนรถม้า หันหน้าไปมองหลานหลิงที่ถือกระเช้าดอกไม้เล็กๆ สองใบ โยนนางและกระเช้าเข้าไปในรถม้า องครักษ์ที่ขี่ม้าดูเหมือนกำลังจะตะโกน แต่กลับถูกหลี่เฉิงเฉียนจ้องมองอย่างชั่วร้าย
หลี่เฉิงเฉียนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองสัมภาระ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก กฎของราชวงศ์ก็เป็นเช่นนี้ ควรจะเป็นของใครก็เป็นของคนนั้น เจ้าจะแย่งไปไม่ได้ ขโมยไปก็ไม่ได้ นอกจากว่าเจ้าจะมีอำนาจมากพอที่จะดูถูกตำแหน่งพวกนี้ทั้งหมด
ไม่เห็นซินเย่วอยู่ในกลุ่มผู้หญิง นางต้องดูแลท่านย่า ไม่รู้ว่านางจะเดินไปข้างหน้าได้หรือไม่ พิธีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ชาติหนึ่งก็อาจจะได้เจอแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซวยจริงๆ ที่ตอนนี้ต้องมาเจอกับเรื่องซวยๆ เช่นนี้ได้ ขุนนางกรมพิธีกรรมที่จิตวิปริตก็เอาแต่ยุ่งวุ่นวายเรื่องของเสื้อผ้า การเดิน และมารยาท อวิ๋นเยี่ยถูกสอนอีกครั้งว่าควรรัดเข็มขัดให้แน่น ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกลงบันทึกอีกครั้ง
ถนนบนภูเขากว่าสามสิบไมล์ ปกติทุกคนก็จะใช้แต่รถม้า ถ้าใครไม่มีอะไรทำจะไปเดินเล่นที่ถนนบนภูเขาสามสิบไมล์เช่นนั้นหรือ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังนึกอยากอาละวาด เขาก็เห็นซินเย่วพยุงท่านย่าพูดคุยหัวเราะเดินเข้ามา ข้างๆ ของพวกนางคือไฮปาเทีย ท่าทางที่ทั้งสองคนพยุงท่านย่าเดินมาด้วยกันช่างดูผ่อนคลาย เช่นนี้ก็วางใจได้แล้ว แรงของผู้หญิงร่างใหญ่ชาวตะวันตกไม่ใช่ธรรมดา แบกห่อผ้าขนาดใหญ่บนหลัง แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ขัดขวางการเดินไปข้างหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ท่าทางดูอนาถนิดหน่อยราวกับผู้อพยพลี้ภัย
จั่งซุนชงพยายามมองมาที่อวิ๋นเยี่ย ดูเหมือนว่าเขาอยากจะให้อวิ๋นเยี่ยโยนสัมภาระของเขาเข้าไปในรถม้า อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า หันหลังกลับไปหยิบห่อเมล็ดพันธุ์ที่หนักที่สุดจากฟางอี๋อ้ายที่อยู่ข้างๆ ไปให้จั่งซุนชงแบก ฟางอี๋อ้ายยิ้มกว้าง จั่งซุนชงกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกท่านพ่อตบหน้าผากเข้าให้ทีหนึ่ง เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตามไปให้ทัน
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเลือกเวลา จงใจให้ออกมาปีนเขาในช่วงเวลาที่แดดแรงที่สุด เพื่อป้องกันคนลักลอบสังหารกระมัง พวกเขาตัดต้นไม้สองข้างทางออกจนหมด ตอนนี้ไม่มีร่มบังแดดใดๆ อันตรายถึงชีวิตจริงๆ
ดอกจูอวี๋ที่เสียบอยู่ที่หน้าผากเริ่มแผดร้อน ผงกำมะถันที่หน้าอกก็ระเหยไปตามอุณหภูมิของร่างกาย กลิ่นของมันพุ่งเข้ามาที่จมูกจังๆ…
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 15 พิธีที่ยิ่งใหญ่ (สอง)
หลังจากที่เห็นชายเฒ่าตระกูลเหลียงน้ำลายฟูมปากแล้วล้มลง อวิ๋นเยี่ยอดไม่ได้ที่จะถามจั่งซุนอู๋จี้ว่า “ท่านลุงจั่งซุน ฝ่าบาทให้คนแก่และเด็กๆ เหล่านี้ไปเดินอยู่กลางแดดทำไมกัน”
จั่งซุนดึงผักตบชวาออกมาจากที่คาดเอว บีบหยดน้ำใส่ปากเล็กน้อย เอามาลูบไปบนเคราของเขาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “นี่คือพิธีที่ยิ่งใหญ่ เป็นการเลียนแบบการเดินของฮ่องเต้หวงตี้ในสมัยนั้น เป็นฉากที่แสดงถึงการเดินทางหลายหมื่นก้าวไปสู่การปกครองราชสำนัก ด้านหน้ามีมังกรมีปีกคอยเปิดทางให้ ด้านหลังมีราชครูทำพิธีเรียกฝน ด้านซ้ายมีเทพสายลม ด้านขวามีเทพเกราะทอง ราษฎรเดินตามเป็นขบวน ยิ่งใหญ่อลังการ พิธีนี้เป็นพิธีที่เขาเรียกกันว่าพิธีศักดิ์สิทธิ์”
ไม่อยากฟังคำพูดที่ไม่แน่นอนของจั่งซุนต่ออีก หากฟังต่อไป เขาก็จะต้องตกหลุมพรางอย่างแน่นอน มองเห็นชายแข็งแกร่งที่อยู่ข้างหน้าถือหัวมังกรที่สานด้วยไม้ไผ่ ด้านหลังเป็นส่วนร่างของมังกร แล้วยังมีอีกสองคนที่ถือปีกสองข้าง เดินไปด้วยเต้นรำไปด้วย ทำเอาฝุ่นตลบเต็มไปหมด นี่คือมังกรมีปีกที่เรียกว่าอิงหลงเช่นนั้นหรือ คนที่สวมใส่หน้ากากสีดำเดินโปรยน้ำอยู่ข้างหลังคือราชครูเรียกฝนเช่นนั้นหรือ จริงๆ เลย อย่างน้อยเจ้าก็ควรเดินอยู่ข้างหลังอิงหลงเพื่อพรมน้ำไม่ให้เกิดฝุ่นสิ
คนทางซ้ายที่ใส่หน้ากากแยกเขี้ยวแลบลิ้นคือเทพสายลมหรือ ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย อากาศร้อนขนาดนี้ไม่เห็นมีลมเลยแม้แต่นิดเดียว เทพสายลมช่างบกพร่องในหน้าที่เสียจริง เทพเกราะทองคำยังพอดูมีสง่าราศีอยู่บ้าง เดินอยู่บนไม้ค้ำถ่อ ลำตัวสูงกว่าสองเมตร สวมหัวเสือดาวดวงตากลมโต ถือขวานอันใหญ่ไว้ในมือ กะขนาดจากสายตาแล้วหากหนักไม่ถึงห้าร้อยกิโลกรัมคงไม่เอามาถือไว้เช่นนี้ แต่ดูๆ ไปแล้ว เห็นเขาโบกขวานไปมาได้ง่ายๆ มันคงจะไม่หนักเสียเท่าไหร่หรอก เข้าใจได้ว่านี่ก็คงเหมือนกับค้อนที่สหายของซ่านอิงใช้ ข้างในกลวงโบ๋ไม่มีอะไรเลย
“ท่านลุงจั่งซุน เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้วพวกเราก็เป็นเพียงแค่ทหารทั่วไป แน่นอนว่าในเวลานี้ฝ่าบาทก็คือฮ่องเต้หวงตี้ แต่ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะเต็มใจเป็นพระสนมหมัวหมู่ที่หน้าตาอัปลักษณ์หรือไม่”
จั่งซุนอู๋จี้หุบพัดแล้วเคาะลงบนหัวของอวิ๋นเยี่ยแรงๆ หนึ่งที “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เจ้าควรถูกติที่เอาผู้อาวุโสมาล้อเล่น ถามอะไรไร้สาระ พระมเหสีของหวงตี้คือเหลยจู่ หมัวหมู่เป็นเพียงแค่พระสนม จำไว้ให้ดีล่ะ”
“ท่านลุงจั่งซุนพูดถูก ว่าแต่ทำไมเราไม่เลือกเดินขบวนในช่วงที่อากาศเย็นสบายล่ะ ทำไมต้องเลือกช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด หากช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่หยวนเทียนกังเป็นคนเลือก ข้าจะไม่ปล่อยเขาไว้แน่”
“เจ้าคิดผิดแล้ว สำนักเต๋าไม่ได้เป็นคนเลือกเดินขบวนในช่วงเวลานี้ แต่เป็นสิ่งที่สืบทอดมานานนับพันปีต่างหาก แต่ไหนแต่ไรมาวันที่เก้าเดือนเก้าเป็นวันที่พลังแห่งดวงอาทิตย์อุดมสมบูรณ์มากที่สุด สามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ทั้งหมด เพราะเหตุนี้จึงได้เลือกเอาวันนี้ ใช่ว่ามีใครตั้งใจจะทรมานใคร ตอนนี้มีหลายแว่นแคว้นเดินทางมาเพื่อกราบไหว้เคารพบูชา ซึ่งถือเป็นฤกษ์งามยามดีของประเทศ ฝ่าบาทต้องการบวงสรวงสวรรค์ และประสงค์ที่จะพบบรรพบุรุษหวงตี้ นี่คือส่วนหนึ่งของพิธีกรรมนี้ ไอ้หนุ่มทนเอาหน่อยนะ อย่างไรก็ต้องเดินกลับมาอีกครั้งจึงจะเสร็จพิธีได้”
สำหรับอวิ๋นเยี่ยที่ไม่มีความรู้เรื่องพิธีโบราณเลย ข่าวนี้ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก สามสิบลี้นี้หมายถึงระยะทางที่เป็นเส้นตรงบนแผนที่ ไม่ใช่เส้นทางคดเคี้ยว หากระยะทางจริงไม่น้อยกว่าห้าสิบลี้อวิ๋นเยี่ยก็คงเลือดตาแทบกระเด็น ระยะทางไปกลับรวมทั้งหมดแล้วคงถึงหนึ่งร้อยลี้ ไม่มีอาหารให้กิน เช่นนี้อาจทำให้คนตายได้ ตัวเองยังพอทนไหว แต่ท่านย่าจะทนได้อย่างไร เมื่อครู่ที่ชายเฒ่าตระกูลเหลียงเป็นลมล้มไปก็ทำได้เพียงให้หลานชายแบกไว้ คาดว่าเมื่อถึงภูเขาหนานซันก็เอาชายเฒ่าลงหลุมได้เลย
“ท่านลุงจั่งซุน ท่านดูท่าทางของชายเฒ่าตระกูลเหลียงสิ หากเป็นถึงเช่นนี้แล้วยังไม่รักษา คาดว่าเขาคงไม่รอดไปถึงภูเขาหนานซัน หากเป็นลมแดดจะลำบากเอา หากขาดน้ำก็จะแย่เข้าไปใหญ่”
จั่งซุนเหลือบมองผู้เฒ่าเหลียงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “พิธีนี้ยิ่งใหญ่เท่าฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นพิธีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ต่อให้จะตายก็ต้องเคารพกฎ เจ้าไม่เห็นหรือว่าขุนนางกรมพิธีกรรมแทบไม่กะพริบตาเลย”
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ฮ่องเต้คงคำนวณเรื่องการสูญเสียไว้แล้ว เขาโหดร้ายพอที่จะให้ลูกสาววัยสิบเอ็ดปีของตัวเองมาร่วมเดินขบวนหนึ่งร้อยลี้ด้วยก็พอจะรู้ได้ว่าเขาเห็นเกียรติของพิธีสำคัญกว่าชีวิต
เกาหยางมักจะเดินสะเปะสะปะไปมาอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย แบกถังไม้เล็กๆ อยู่สองถัง ดูเหมือนว่านางจะหวังให้อวิ๋นเยี่ยโยนนางขึ้นไปบนรถม้าของรัชทายาท แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยเอาแต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ดังนั้นสาวน้อยจึงทำได้เพียงส่งสายตาแดงก่ำ นางไม่กล้าปีนขึ้นไปเอง แต่ก็ไม่มีใครยอมเป็นแพะรับบาป
อวิ๋นเยี่ยแอบมองดูปฏิกิริยาของคนโง่ที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ หากเขายังไม่คิดจะทำอะไร อวิ๋นเยี่ยก็คงต้องลงมือเอง เกาหยางเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว
ในที่สุดเจ้าเด็กนั่นก็กัดฟันแล้วรับสัมภาระจากเกาหยางไป อุ้มเกาหยางขึ้นมาแล้ววางนางไว้ที่ข้างหลังรถม้า ตัวเองถือของขวัญของเกาหยางแล้วเดินต่อ
อวิ๋นเยี่ยผิวปากใส่เกาหยางที่กำลังร้องไห้ ทำให้มีคนมองตาขวางใส่ ฝางเสวียนหลิงตบไปที่ท้ายทอยของลูกชาย เขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
“เจ้าเด็กโง่ เจ้าดูฟางอี๋อ้ายไว้ เขายังรู้จักอุ้มภรรยาในอนาคตขึ้นไปบนรถ เจ้าลองมองดูฉางเล่อ เด็กคนนั้นร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้ต้องมาเดินขบวน เจ้าไม่รู้สึกปวดใจหรือ”
“คนเลว เจ้าตั้งใจแกล้งข้า คราวที่แล้วที่หอเอี้ยนไหลโหลวข้าก็แค่โยนความผิดให้เจ้า ช่างใจแคบเสียจริง เจ้าเองก็ขายสหายอย่างพวกเราน้อยเสียเมื่อไหร่ แน่นอนว่าข้าต้องเป็นห่วงภรรยาข้า แต่เจ้าดูสิ บนตัวข้าไม่มีที่ว่างแล้ว เกาหยางกลับให้หลานหลิงขึ้นรถม้าได้เพราะว่ายังเป็นเด็ก แต่ฉางเล่ออายุสิบเจ็ดปีแล้ว จะเสียมารยาทไม่ได้”
แน่นอนว่าอย่างไรก็มีวิธี อวิ๋นเยี่ยช่วยจั่งซุนชงจัดแต่งสัมภาระสักหน่อย จากนั้นก็เอาข้าวของของฟางอี๋อ้ายคืนให้เขา ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับเจ้าคนโง่คนนี้ รับสัมภาระของฉางเล่อมา เอาไปไว้กับสัมภาระของจั่งซุนชง ไม่รู้ว่าฉางเล่อโง่หรือว่าอะไร ในสัมภาระเต็มไปด้วยเนยแข็ง ของสิ่งนี้หนักเอาการ อวิ๋นเยี่ยหอบมาเจ็ดแปดชิ้น ส่วนที่เหลือก็ใส่กลับเข้าไปทั้งหมด มองดูจั่งซุนชงออกแรงอย่างหนัก จึงพยักหน้าอย่างพอใจ
ฉางเล่อถูกผู้หญิงและเด็กๆ ล้อบอกว่าอิจฉานางที่มีคนเป็นห่วงใย ฉางเล่ออายจนแทบจะมุดหัวเข้าไปในเสื้อ จั่งซุนชงก้าวไปข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น เมื่อเดินไปได้สักพักก็หันมาถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เหตุใดมือเจ้ายังว่างอยู่”
อวิ๋นเยี่ยไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามโง่ๆ ของจั่งซุนชง เดินไปที่ข้างหลังขบวนแล้วขอกระเป๋าหนังแกะสองใบจากราชครูเรียกฝน ใช้ปิ่นปักผมเจาะรูเล็กๆ ด้านบน แล้วมัดถุงน้ำไว้บนหัวของชายเฒ่าตระกูลเหลียง มีน้ำลดอุณหภูมิให้เขาเช่นนี้ ไม่แน่เขาอาจรอดไปถึงภูเขาหนานซันได้
ในที่สุดก็มาถึงภูเขาหนานซัน มีร่มเงาบ้างเล็กน้อย ที่ด้านหน้ามีขุนนางกรมพิธีกรรมเดินตรวจตรา คอยตะโกนอยู่เสมอว่าต้องเคารพและให้เกียรติพิธี จะต้องเดินต่อไปให้ถึงจุดบวงสรวงสวรรค์โดยไม่หยุดพัก
หลี่ไท่แบกสัมภาระเดินมาด้วยท่าทางสบายๆ สัมภาระนั้นดูเหมือนว่าจะไร้น้ำหนัก เมื่อออกเดินทางขุนนางกรมพิธีกรรมจะชั่งน้ำหนักก่อน สัมภาระห้ามเบาเกินสิบห้ากิโลกรัม ผู้หญิงและเด็กลดลงได้ครึ่งหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าขุนนางหัวโบราณเหล่านั้นจะปล่อยหลี่ไท่ไปแล้วช่วยอำนวยความสะดวกให้เขา
ลองใช้มือถือสัมภาระของเขาเพื่อวัดน้ำหนัก น่าแปลก ตราประทับสีแดงด้านบนยังอยู่ดี แต่ว่าสัมภาระเบามาก แทบจะไม่มีน้ำหนัก เทียบไม่ได้กับหลี่เค่อที่ยืนเหงื่อตกอยู่ข้างๆ
“ชิงเชวี่ย เจ้าติดสินบนขุนนางให้เขาหยวนให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเยี่ยมองดูรอบๆ ไม่กล้าพูดเสียงดัง
“ข้าต้องติดสินบนพวกเขาด้วยหรือ ข้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องขายหน้าเช่นนั้น ข้าได้สืบหาข้อมูลมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ ดังนั้นข้าเลยตั้งใจจะถวายไข่มุกสิบเม็ด ข้าตั้งใจแช่ไข่มุกไว้ในน้ำแข็งโดยเฉพาะ เพื่อให้คงความสวยงาม เมื่อเพิ่มน้ำหนักของน้ำแข็งก็เกินสิบห้ากิโลกรัมแล้ว ส่วนเรื่องที่น้ำแข็งละลายระหว่างเดินทางมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า ใครกันที่จะทำให้น้ำแข็งไม่ละลายภายใต้แสงแดดเจิดจ้านี้ได้”
การกระทำของหลี่ไท่ในตอนนี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยพูดไม่ออก วิธีที่ดีเช่นนี้เขาคิดออกมาเองได้อย่างไร ส่วนข้า ยังนับเม็ดข้าวโพดก่อนใส่ลงไปด้วย แค่คิดก็ขายหน้าแล้ว
หลี่ไท่ยังช่วยพวกน้องๆ แบกสัมภาระบ้างเล็กน้อย คนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ถูกเขาโยนขึ้นรถของรัชทายาทไป องค์รัชทายาทหลี่เฉิงเฉียนมองน้องชายด้วยความซาบซึ้ง การทำเช่นนี้ทำให้เขาคลายความรู้สึกผิดลงไปโดยสิ้นเชิง หยิบห่อขนมออกมาจากเสื้อส่งให้กับหลี่ไท่ หลี่ไท่รับมาแล้วเปิดดู แต่ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยหยิบไปครึ่งหนึ่ง หลี่เค่อก็คว้าไปอีกหนึ่งชิ้น ขณะที่กำลังเคี้ยวอยู่ก็พบว่าขุนนางกรมพิธีกรรมกำลังเดินมาจึงต้องรีบหุบปากทันที ทำแก้มป่องหันหน้ารับแสงอาทิตย์
อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ถูกขุนนางกรมพิธีกรรมตำหนิอย่างรุนแรงอีกครั้ง เศษขนมตรงมุมปากทำให้ดูไม่น่ามอง ไม่มีท่าทีของชนชั้นสูงที่อกผายไหล่ผึ่ง เห็นว่ารถม้าของหลี่เฉิงเฉียนเต็มไปด้วยเด็กๆ กำลังจะตำหนิแต่ก็ถูกหลี่เฉิงเฉียนมองด้วยสายตาเ**้ยมโหดราวกับหมาป่า เขาเคยเข้าร่วมสนามรบ ทำให้ดูมีรังสีอำมหิตอยู่บ้าง
ขุนนางกรมพิธีกรรมต้องฝืนใจปล่อยไป หันกลับมาแล้วตำหนิหลี่ไท่และอวิ๋นเยี่ยอีกครั้งเพื่อรักษาความเคร่งครัดของตัวเองแล้วจึงหันหลังจากไป หลี่เค่อใช้น้ำลายทำให้ขนมนิ่มแล้วกลืนลงไปอย่างยากลำบาก หันไปพูดกับหลี่ไท่และอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าเป็นถึงฉู่อ๋องเชียนสุ้ยผู้สง่างาม แต่ตอนนี้ต้องขโมยกินขนมอย่างกับโจร เมื่อครู่ข้าตกใจจนหัวใจเต้นแรงด้วยซ้ำ”
อวิ๋นเยี่ยหยิบผงกำมะถันแดงออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนทิ้ง ถึงแม้ว่ากระเป๋าจะสวยมาก แต่เพื่อชีวิตของตัวเองแล้วจึงต้องโยนทิ้งไป กลิ่นแบบนั้นอย่าว่าแต่งูและแมลงไม่กล้าเข้าใกล้ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่กล้าเลย
“อวิ๋นเยี่ย ผู้หญิงที่เจ้าพามาจากหอนางโลม ทำเอาข้าลำบากเป็นอย่างมาก ตอนนี้ก็เร่งเร้าให้ข้าปรับตารางความหนาแน่นให้สมบูรณ์ เจ้าช่วยบอกนางทีว่า สิ่งนี้ต้องใช้เวลาพอๆ กับขัดหินอ่อน ใช่ว่าวันสองวันจะทำสำเร็จได้ เรื่องดินปืนข้าก็ยังต้องพัฒนา เรื่องเครื่องปั่นฝ้ายข้าก็ต้องเตรียมพร้อม เสด็จพ่อจะใช้หลังจากพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ ไม่มีเวลาไปเติมเต็มตารางความแน่นหนาหรอก”
หลี่ไท่บอกปัญหาของเขากับอวิ๋นเยี่ยด้วยความหงุดหงิด มีบางเรื่องที่ไม่สามารถพูดกับไฮปาเทียได้ เมื่อถูกนางเร่งเร้าก็ทำได้แค่เพียงรับปาก แต่กลับไม่มีเวลาไปทำงานเหล่านี้
“เจ้าไปแอบมองหน้าอกนาง มองจนทั้งตัวเปียกไปหมดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก จุดอ่อนของเจ้าอยู่ในมือนาง ข้าพูดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ จะว่าไปการแอบดูผู้หญิงแล้วตื่นเต้นจนฉี่ราดก็เป็นเรื่องที่หาได้ยาก ชิงเชวี่ย ตอนนี้เจ้าต้องหาภรรยาเพิ่มอีกสักคนแล้ว ไม่เช่นนั้นหากฉี่ราดบ่อยๆ จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย หากกลายเป็นความเคยชินแล้วจะแย่เอาได้”
ใบหน้าของหลี่ไท่แดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็มองดูใบหน้าที่แสดงถึงความสงสารที่อยู่รอบๆ ตัวเอง หลี่เค่อมองเขาไม่โดยกะพริบตาแม้แต่น้อย ขณะที่ฟางอี๋อ้ายทำท่าทางครุ่นคิด จั่งซุนชงถอนหายใจ ส่วนเฉิงฉู่มั่วก็ตบที่ไหล่เขาเบาๆ สองทีอย่างปลอบใจ ช่างเป็นสถานการณ์ที่ดูอบอุ่น
หลี่ไท่ไม่คิดว่าคนพวกนี้จะใส่ใจร่างกายของเขา คาดว่าลับหลังคนเหล่านี้คงจะพากันหัวเราะ นับตั้งแต่วินาทีนี้ เขาได้รู้ว่าฉายาสุภาพบุรุษของเขาได้ถูกทำลายลงแล้ว
สายตามองไปรอบๆ ในที่สุดก็หานางร้ายที่เอาแต่พูดว่าจะเก็บเป็นความลับให้ตัวเองจนเจอ อยากจะเข้าไปถามให้รู้ความ แต่ขากลับก้าวไม่ออกเพราะผู้หญิงคนนั้นหันมาหาเขาแล้วเลียริมฝีปากแดงของนาง…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น