เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 11-13
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 11 อาจารย์คนสวย
สำนักศึกษามักจะถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงระฆังอันไพเราะ แม้แต่เรื่องใหญ่ขนาดไหนก็ไม่มีทางเปลี่ยนจังหวะที่มั่นคงของมันได้ คนที่ควรออกไปวิ่งตอนเช้าก็ไปวิ่ง คนที่ควรเรียนหนังสือก็เรียนหนังสือ ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จมา เหล่าชายหนุ่มที่กินเก่งก็ยังคงกัดซาลาเปาอยู่เต็มปาก ตะเกียบเสียบอยู่ที่หมั่นโถว ชามข้าวเต็มไปด้วยโจ๊ก หัวไชเท้าก็อยู่ในชาม ใช้ปากคาบมาเคี้ยว แม้จะเหลืออีกครึ่งหนึ่งแต่ไม่อยากกินหมดจึงคายกลับเข้าไปในชามแล้วกัดหมั่นโถวต่อ
นี่คือจุดจบของการเอาค่าอาหารของตัวเองไปเดิมพัน สำนักศึกษาไม่เคยห้ามให้มีการเดิมพัน เจ้าสามารถเดิมพันว่าการเรียนของคนอื่นไม่เท่าเจ้าแล้วก็สามารถเดิมพันว่าเจ้าวิ่งได้เร็วที่สุด แม้แต่จะเดิมพันว่าตัวเองฉี่ได้ไกลกว่าคนอื่นก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าจะมีเรื่องการพนันอย่างเช่นไพ่นกกระจอก ลูกเต๋า หรือไพ่โป๊กเกอร์ไม่ได้เด็ดขาด หากถูกจับได้ การไปขนหินบนเขาคือการลงโทษที่เบาที่สุด
เห็นคนอื่นกินไข่ไก่ กินโจ๊ก ซื้อซาลาเปาเนื้อ แต่ตัวเองกินผักดองก็ต้องยอมจำนน ยอมรับความพ่ายแพ้ คือกฎอีกข้อของสำนักศึกษา ที่นี่คือสวนสนุกของคนฉลาด หากเจ้าคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนฉลาด เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ถูกหลอกบ่อยๆ เข้าเดี๋ยวก็จะฉลาดขึ้นมาเอง
บรรยากาศของวันนี้ไม่ค่อยเหมือนก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ นักศึกษาที่ถือชามข้าวอยู่ในมือล้วนแต่มองไปทางประตูใหญ่ บางคนก็มองไปที่ระฆังใหญ่ในหอระฆัง ที่นั่นมีคนรับใช้ที่กำลังรอเตรียมตีระฆังอยู่ทุกเมื่อ
มีสาวงามชาวหูคนหนึ่งกำลังพิชิตประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ได้ยินมาว่าไขปริศนาได้แล้ว และตอนนี้กำลังไขรหัสสุดท้าย ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาไปแล้วครึ่งวัน ยังคงห่างไกลจากสถิติของสำนักศึกษา แต่เพียงแค่ส่วนโค้งงอที่ยื่นออกมาของสาวงามก็เพียงพอที่จะดึงดูดพวกชายหนุ่มที่มีพลังเหลือล้นพวกนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดว่าสาวงามคนนี้กำลังใกล้จะพิชิตด่านแรกของสำนักศึกษาได้แล้ว
เห็นว่าสาวงามไม่หวีผม ไม่ล้างหน้า และยังสวมเสื้อผ้าที่สกปรก ดังนั้นวันนี้ลูกศิษย์ทุกคนต่างมีรูปลักษณ์หน้าตาที่เปลี่ยนไป คนที่ขี้อวดก็ปักพัดเอาไว้ข้างหลังและนั่งยองๆ กินโจ๊กบนพื้น
เห็นท่อสูบยกขึ้นสูง เหลือแค่ด่านสุดท้ายก็จะสำเร็จแล้ว อาจารย์หลี่กังนั่งยิ้มอยู่บนรถเข็นเพื่อรอดูสถิติใหม่ นั่นคือสถิติของผู้หญิง หากเป็นเช่นนี้ มันคงจะเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าลูกศิษย์ที่ขี้เกียจเหล่านั้น
หลี่ไท่ทำท่าทางดูถูก สำหรับเขาแล้ว หน้าที่เดียวของผู้หญิงก็คือการคลอดลูก ผู้หญิงที่ดีก็คือผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงามและเลี้ยงลูกเป็น เรื่องอื่นคือเรื่องเหลวไหว การพิชิตประตูใหญ่ของสำนักศึกษาอธิบายอะไรไม่ได้ ตอนนั้นเขาเองยังไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนี้ สำหรับความช่วยเหลือของอาจารย์กงซูคือเขาใช้พู่กันเขียนสรรเสริญยกย่อง
เอ็นเนื้อยังผูกติดอยู่ที่ขอบประตู ไม่รู้ว่าแป้งในถุงกระดาษชื้นหรือไม่ ทันทีที่เปิดประตูก็จะมีผงแป้งพุ่งเข้าใส่ หลี่ไท่ตั้งใจมาดูผู้หญิงที่ร้องไห้อ่อนแอ ไม่ได้จะมาดูอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ บนโลกใบนี้จะมีอัจฉริยะอะไรตั้งมากมาย แค่อวิ๋นเยี่ยคนเดียวหลี่ไท่ก็คิดว่ามากเกินไปแล้ว เขายิ่งไม่อยากให้ผู้หญิงโง่ๆ มาเป็นอาจารย์ของตัวเอง อัจฉริยะที่อวิ๋นเยี่ยเอามาจากหอนางโลมน่ะรึ สรุปแล้วนางรับใช้ผู้ชายเก่งกว่า หรือมีความรู้ทางคณิตศาสตร์มากกว่ากันแน่ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์
เมื่อหลี่กังเห็นว่าผ่านด่านสุดท้ายมาแล้ว เขาก็โบกมือขึ้น ทันใดนั้น เสียงระฆังที่ไพเราะและทรงพลังก็ดังขึ้นมา หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาต้องมาแสดงความเคารพต่อนักปราชญ์คนนี้ กำมือกันอย่างเคร่งขรึม เตรียมต้อนรับอาจารย์คนใหม่
ใบหน้าที่ภาคภูมิใจของไฮปาเทียปรากฏขึ้นมาที่ร่องประตู เห็นใบหน้าที่งดงามนั้น รอยยิ้มของหลี่ไท่ก็ชั่วร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดออก รอยยิ้มของเขาก็แปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
ประตูใหญ่เปิดออก ไฮปาเทียพึ่งจะก้าวออกมาได้ก้าวเดียวก็มีเงาสีขาวพุ่งเข้ามาที่หน้าอกของนาง ควันสีขาวระเบิดขึ้นมา ทันใดนั้นนางก็กลายเป็นคนผิวขาวอย่างสมบูรณ์แบบ
หลี่ไท่ยิ้มมุมปาก เอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ เดินไปที่ภูเขาด้านหลังของสำนักศึกษาอย่างอารมณ์ดี ไปดูกลไกอันล้ำค่าของเขา ในที่สุดเรื่องพวกนี้ก็ถูกเอามาพูดถึงในที่ประชุม
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลี่กังจะไปเอาเรื่องจากหลี่ไท่ด้วยความโมโห แต่พอหันหน้ากลับไปก็ไม่เห็นเขาแล้ว กำลังจะเข้าไปปลอมใจไฮปาเทียก็ได้ยินไฮปาเทียที่ใบหน้าเต็มไปด้วยแป้งพูดอย่างช้าๆ ว่า “พิธีต้อนรับของสำนักศึกษานั้นช่างไม่เหมือนใครจริงๆ เหตุใดข้าถึงได้ลืมไปว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่อิสระและมีแต่เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอ ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของคนคนหนึ่งก็คือตอนที่เรายืนอยู่บนจุดสูงสุด หลังจากที่พวกข้าผ่านความยากลำบากมาแล้วมากมาย สุดท้ายพวกข้าก็ประสบความสำเร็จ คิดไม่ถึงว่านี่จะกลายเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด ความภาคภูมิใจในความสำเร็จทำให้ข้าลืมไปว่าข้ายังอยู่ในอันตราย ขอบคุณสำนักศึกษาที่มอบบทเรียนนี้ให้กับข้าตอนที่ข้าเข้ามา ข้าจะจดจำไปตลอดชีวิต ข้าจะอ่อนน้อมถ่อมตนและรอบคอบไปตลอดชีวิต และเดินไปตามวิถีแห่งชีวิตของตัวเองทีละก้าวจนถึงจุดจบ เพื่อการนี้แล้ว ข้ายินดีที่จะร่วมแรงร่วมใจกับทุกท่าน”
หลี่กังยิ้มอย่างมีความสุข คำแนะนำของอวิ๋นเยี่ยไม่มีผิด นี่คืออาจารย์ที่เกิดมาเพื่อให้ความรู้แก่พวกเด็กๆ อาจารย์คนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจกับคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ตกใจ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าที่เหมือนตัวตลกกลายเป็นเคร่งขรึมสั่งสอนลูกศิษย์ได้อย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา
เหล่าลูกศิษย์ต่างพากันปรบมือให้กับไฮปาเทีย ถึงแม้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะไม่ได้ทำให้นางสั่นคลอน แต่การต้อนรับอันอบอุ่นนี้มันกลับกระทบกับหัวใจที่นุ่มนวลที่สุดของนาง นางน้ำตาไหลออกมา ช่างเป็นรอยที่น่าขันบนใบหน้าของนาง
หลี่กังเดินไปข้างหน้า กางแขนออกและพูดว่า “ยินดีต้อนรับ เด็กฉลาด สำนักศึกษาอวี้ซันยินดีต้อนรับเจ้า หวังว่าเจ้าจะทิ้งชื่อเสียงอันเป็นอมตะไว้ที่เขาอวี้ซัน”
ไฮปาเทียเดินเข้าไปกอดหลี่กังที่ผอมบางร่างน้อยเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณท่านมาก ท่านผู้อาวุโสที่จิตใจดีและชาญฉลาด ไฮปาเทียรู้สึกราวกับเด็กเร่ร่อนที่หาบ้านของตัวเองเจอ”
หลี่กังจับมือไฮปาเทียและแนะนำให้นางรู้จักกับอาจารย์ของสำนักศึกษาทีละคน กิริยา ท่าทาง และมารยาทที่ดีของนางได้รับการยอมรับจากเหล่าอาจารย์ของสำนักศึกษา จากนั้นค่อยแนะนำอวิ๋นเยี่ยเป็นคนสุดท้าย ถือโอกาสตอนที่อาจารย์หลี่กังและอาจารย์หยวนจางพูดคุยกัน ไฮปาเทียก็พูดว่า “ท่านโหวเจวี๋ยที่เคารพ หากท่านไม่บอกว่าใครเป็นคนทำเรื่องตลกนั้น ข้าก็จะไปบอกภรรยาของท่านว่าเรามีคืนหนึ่งคืนด้วยกัน คืนนั้นช่างเป็นคืนที่ลืมไม่ลง
อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางได้เจอกับคนดีๆ ผู้หญิงที่ใจแคบคนนี้พูดแบบนั้นออกมา ผู้หญิงเย่อหยิ่งอย่างนางถูกเล่นงานเสียขนาดนั้นจะไม่เอาคืนได้เช่นไร
“เจ้าอย่าแปลกใจไปเลย กลไกนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเจ้าคนเดียว ตอนที่ฝ่าบาทมาก็มีเหมือนกัน ตอนนั้นเป็นควันสีเทา แต่ว่าข้าบอกเจ้าก็ได้ คนที่ติดตั้งกลไกนี้คืออัจฉริยะคนหนึ่ง ปีนี้พึ่งจะอายุสิบเจ็ด เป็นองค์ชายคนหนึ่ง ต่อไปพวกเจ้าก็จะมีโอกาสได้เจอกัน ไม่ใช่ลมตะวันออกทับถมลมตะวันตก ก็คือลมตะวันตกทับถมลมตะวันออก สรุปแล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ที่นี่ไม่ใช่อียิปต์ หากเจ้าบอกภรรยาของข้าว่าเราแอบมีอะไรกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าภรรยาของข้าจะทำเช่นไร นางจะพยายามทำให้เจ้ามาเป็นภรรยารองของข้า ที่นี่เรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่าศีลธรรมอันดีงาม อย่าดูถูกพลังของฮูหยิน บางทีวันหนึ่งข้ากลับไปถึงบ้าน ข้าอาจจะเห็นเจ้านอนอยู่บนเตียงของข้า”
พูดเสร็จก็หัวเราะแล้วเดินไปหาสวี่จิ้งจงเพื่อจัดเตรียมห้องทำงานให้กับไฮปาเทีย เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถอยู่ร่วมห้องทำงานกับอาจารย์ท่านอื่นๆ ได้
หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ไฮปาเทียยิ่งดูงดงามมากกว่าเดิม ทุกการเคลื่อนไหวและรอยยิ้มราวกับมีพลังวิเศษ ทำให้เด็กผู้ชายในสำนักศึกษาต่างพากันเสียสติ แย่งกันนำทางพาไฮปาเทียไปเยี่ยมชมสำนักศึกษา ไม่จำเป็นต้องให้อวิ๋นเยี่ยพาไป ไอ้พวกนั้นจะบอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ให้กับอาจารย์คนสวยของพวกเขาเองอย่างแน่นอน หรือหากอาจารย์อยากจะถามเรื่องบรรพบุรุษแปดชั่วอายุคนของพวกเขาก็คงไม่มีปัญหา
เดินไปทั่วทุกที่หนึ่งรอบ มีเพียงแค่ห้องเดี่ยวที่อยู่ไกลๆ ห้องหนึ่งที่ไม่มีใครพาไฮปาเทียไปเยี่ยมชม ไฮปาเทียที่อยากรู้อยากเห็นพึ่งจะเอาหัวยื่นเข้าไปทางหน้าต่าง มีดที่แวววาวก็พุ่งเข้าปักเข้าที่กรอบหน้าต่าง ไม่รู้ว่ามีความกล้าหาญแท้จริงหรือเพียงแค่แกล้งทำเป็นนิ่ง ไฮปาเทียเอ่ยถามชายร่างใหญ่ที่อยู่ในห้องว่า “ข้าคืออาจารย์ที่มาใหม่ เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
ในห้องมีแบบจำลองภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่ มีภูเขา มีที่ราบ และมีทะเลสีฟ้า หนึ่งในนั้นมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน ในแม่น้ำสายนั้นมีน้ำไหล บนแม่น้ำยังมีเรือจำลองที่สวยงามอยู่สองสามลำ เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งกำลังเติมทรายลงไปในน้ำไม่หยุด แปลกมาก เขามักจะชั่งน้ำหนักของทรายก่อนที่จะเติมลงไปเสมอ เห็นว่าไฮปาเทียกำลังมองดูเขาอยู่ เขาก็ยิ้มอย่างเขินอายทีหนึ่งจากนั้นก็ทำงานของตัวเองต่อไป
ชายร่างใหญ่ผลักนางออกไป จากนั้นก็ปิดหน้าต่างใส่ ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
ลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆ รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “อาจารย์ ท่านอย่าโกรธไปเลย เขาก็เป็นเช่นนี้ เขาอยากจะขุดคลองระหว่างทะเลกับแม่น้ำฮวงโห เรื่องอื่นเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว มีเพียงแค่เรื่องทรายพวกนั้นที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา เพราะว่าในแม่น้ำมีทราย กระแสน้ำบริเวณนั้นจึงแผ่วเบา มักจะมีทรายทับถมอยู่เสมอ อีกไม่กี่ปีแม่น้ำอาจจะถูกกั้นขวาง นอกจากนี้ทางเข้าทะเลก็ยังขยายออกไปเรื่อยๆ เขาคงจะยังสร้างท่าเรือไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงอารมณ์ไม่ดี ท่านโปรดอย่าได้ถือสา”
ไฮปาเทียพูดกับลูกศิษย์ว่า “คนเช่นนี้ควรค่าแก่การเคารพ เขาได้อุทิศตนให้กับงานของตัวเองจนลืมโลกภายนอก ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องหาทางออกเจอ เราไม่ควรไปรบกวนเขา”
“อาจารย์ เราพาท่านไปดูกะโหลกมังกรและโครงกระดูกปลายักษ์ดีกว่า ที่นั่นคือที่ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมมากที่สุดในสำนักศึกษา”
“เหลวไหล ห้องสมุดถึงจะเป็นแก่นแท้ของสำนักศึกษา หนังสือสะสมของสำนักศึกษาคือหนังสือที่ดีที่สุดบนโลก สองสามวันนี้ยังตีพิมพ์ออกมาไม่น้อย อาจารย์หลี่กังบอกว่าที่นั่นคือสมบัติล้ำค่าของสำนักศึกษา”
“ผิดหมดเลย พิพิธภัณฑ์ผีเสื้อคือที่ที่อาจารย์ควรไป ตอนนี้ที่นั่นมีซากของผีเสื้อมากกว่าสามร้อยสายพันธุ์ ข้ากลับไปบ้านเกิดที่เยว่โจวก็จับผีเสื้อหลากสีสันมาอีกสี่ตัว อาจารย์ควรไปดูที่นั่น”
“เหลวไหล อาจารย์เป็นปราชญ์ทางคณิตศาสตร์ ไม่ว่าเช่นไรก็ควรจะไปดูแบบจำลองการก่อสร้างของหลี่ไท่ที่หลังเขา เขาขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ ต้องให้อาจารย์ไปเห็นความเย่อหยิ่งของเขาสักหน่อย”
“อัจฉริยะ เจ้าหมายถึงอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์หรือ” ไฮปาเทียเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วถามลูกศิษย์ด้วยความตื่นเต้น
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 12 บาปกรรมทั้งนั้น
หลังจากรู้ว่าหลี่ไท่คืออัจฉริยะที่เล่นงานตัวเอง ไฮปาเทียจึงคิดว่าศักดิ์ศรีในฐานะอาจารย์ของนางควรสร้างขึ้นจากตัวเขา หลังจากปรึกษาอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการทำให้องค์ชายขุ่นเคืองแล้ว นางก็ไปเตรียมแผนการด้วยความชอบอกชอบใจ
คิดไม่ถึงว่าบนโลกใบนี้จะมีเรื่องราวดีๆ เช่นนี้ ในประเทศแห่งนี้อาจารย์สามารถเล่นงานองค์ชายให้ตายได้ ต่อให้ต่อยเขาก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร ฮ่องเต้ยังจะต้องลงโทษลูกชายของตัวเองอีกครั้ง ต้าถังช่างเป็นสรวงสวรรค์ของอาจารย์จริงๆ
ไฮปาเทียเรียกหลี่ไท่มายังห้องทำงานของตัวเองก่อน บอกว่าหลี่ไท่คำนวณความหนาแน่นบกพร่องเล็กน้อยจะต้องแก้ไข ได้ยินว่าอาจารย์กำลังท้าทายความสามารถของเขา หลี่ไท่จึงรีบไปหานางอย่างรวดเร็ว รอให้คำอธิบายของอาจารย์ผิดพลาดแล้วเขาจะประชดประชันอย่างแรงและเดินกลับออกมาอย่างสบายใจ อวิ๋นเยี่ยเคยบอกว่า เขาเป็นคนที่มีความสามารถที่สุดในเรื่องของการคำนวณความหนาแน่น ตอนนี้ความสามารถกำลังถูกสงสัย จะเป็นไปได้อย่างไร
เมื่อมาถึงใต้ตึกเล็กๆ ของอาจารย์ ก็มีน้ำเย็นตกลงมาจากท้องฟ้า ทำเอาหลี่ไท่เย็นยะเยือก ถูกน้ำเย็นสาดใส่ในวันที่อากาศร้อนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าน้ำที่ใส่น้ำแข็งนั้นไม่เหมือนกัน หลี่ไท่ร้องลั่น กำลังจะด่าออกมา ใบหน้าของไฮปาเทียก็โผล่ออกมาจากระเบียง พูดกับหลี่ไท่ด้วยความตกใจว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ข้ากำลังทดลองความหนาแน่นที่เจ้าพูด ไม่ระวังไปโดนกะละมังเข้า มันสาดโดนเจ้าเปียกหรือ”
หลี่ไท่ฝืนยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไรขอรับอาจารย์ อากาศร้อนๆ เช่นนี้เปียกน้ำเย็นก็สบายขึ้นมาหน่อย ท่านคิดว่าตารางความหนาแน่นที่ศิษย์เป็นคนเขียนมีปัญหาหรือขอรับ”
หลี่ไท่พูดเห็นฟันขาวและมองไปที่ไฮปาเทียที่อยู่บนตึก หากผู้หญิงคนนี้บอกข้อผิดพลาดไม่ได้ มันก็ถึงเวลาของตัวเขาเองแล้ว อวิ๋นเยี่ยบอกว่าการหาข้อผิดพลาดต้องมีเหตุผล มีหลักฐาน และมีระเบียบ ในฐานะผู้ชายจะคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงแค่เรื่องน้ำหนึ่งกะละมังไม่ได้ แต่เรื่องการศึกษาไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ต้องมีถูกผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้ชายผู้หญิง
หลี่ไท่ใช้มือเช็ดน้ำที่เสื้อ ก่อนจะก้าวขึ้นบันได ขณะกำลังจะขึ้นไปยังชั้นบน ในรองเท้าที่เต็มไปด้วยน้ำทำให้ทุกย่างก้าวล้วนแต่ส่งเสียงแปลกๆ ออกมา เมื่อเขาขึ้นไปชั้นบน กำลังจะแสดงท่าทางที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ระวังไปเหยียบไปโดนท่อนไม้เล็กๆ ใต้ฝ่าเท้า ทันใดนั้นเขาก็ล้มลงไปนอนอยู่ที่บันไดทันที หลี่ไท่ไม่ได้รีบลุกขั้นมา แต่กลับหยิบท่อนไม้เล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาดูอย่างละเอียด เมื่อครู่ตอนที่เดินขึ้นมาไม่เห็นมีท่อนไม้
ไฮปาเทียรีบเดินเข้ามาพยุงหลี่ไท่ ตอนที่นางก้มตัวลงนางก็มองเข้าไปในดวงตาของหลี่ไท่ ทั้งใหญ่ทั้งกลม และที่สำคัญคือมันมีความยืดหยุ่น นางจับแขนของหลี่ไท่โดยไม่ทันระวังตัว
เขาลืมจุดประสงค์ของตัวเองไปในทันที นางสนมอายุสิบห้าปีของตัวเองจะมาเทียบกับผู้หญิงชาวหูคนนี้ได้อย่างไร ต้องบอกว่านี่คือการแข่งขันกับชาวหูที่แท้จริง ขณะที่หลี่ไท่กำลังจะดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ไฮปาเทียก็ตะโกนขึ้นมา รีบปิดหน้าอกของตัวเองไว้และดึงมือของนางกลับไปอย่างรวดเร็ว หลี่ไท่จึงล้มลงไปที่พื้นอีกครั้งเมื่อตอนที่ทุกคนต่างพากันมาที่ชั้นล่าง
ได้ยินเสียงตะโกนของไฮปาเทีย อาจารย์หลี่กังก็เข็นรถเข็นออกมาจากห้องทำงาน เขาเห็นไฮปาเทียปิดหน้าอกด้วยความเขินอาย หลี่ไท่หน้าแดง ตัวเปียกนอนอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อเขากำลังจะดุหลี่ไท่ แต่กลับได้ยินไฮปาเทียพูดเบาๆ ว่า “อย่าโทษหลี่ไท่เลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่เขาล้ม ข้าจึงเข้าไปช่วย ข้าลืมไปว่าผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน ข้าผิดเอง ทำให้เขาล้มลงไปอีกครั้ง”
ได้ยินไฮปาเทียพูดแบบนี้ หลี่กังก็พยักหน้า นึกถึงพฤติกกรมที่ดีมาตลอดของหลี่ไท่ เขายอมเชื่อว่าเรื่องนี้คือเรื่องเข้าใจผิด ชาวหูไม่ค่อยสนใจเรื่องของชายหญิง มีความเข้าใจผิดนิดหน่อยก็เป็นไปได้ เขาจึงตำหนิหลี่ไท่ไปสองสามประโยค ความหมายก็คือให้เขารักษาท่าทีของสุภาพบุรุษที่ดีเอาไว้ อย่ามองอะไรที่ไม่ควรมอง
หลี่ไท่ยืนขึ้นมา โค้งคำนับขอบคุณความเมตตาของอาจารย์ที่ช่วยเขา พยายามทำให้ตัวเองสงบลง และพูดอย่างอ่อนโยน “อาจารย์ ไม่ทราบศิษย์มีข้อผิดพลาดอะไรในเรื่องของของความหนาแน่น อาจารย์โปรดให้คำแนะนำ ศิษย์จะกลับไปแก้ไขเดี๋ยวนี้”
ในเมื่อพูดถึงเรื่องการศึกษา สีหน้าของไฮปาเทียก็เปลี่ยนไปทันที ประสานมือทั้งสองไว้ที่หน้าท้องและพูดกับหลี่ไท่ “ข้าดูตารางความหนาแน่นของเจ้าอย่างละเอียดแล้ว พูดได้ว่านี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่เจ้ายังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ยังไม่รู้หลักการของการขยายตัวและหดตัวจากความร้อน เจ้าเพียงแค่ไล่ดูตามรูปร่างของวัตถุภายใต้สภาวะปกติ เจ้าไม่รู้ว่าวัตถุจำนวนมากกำลังเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยตรง เจ้าดูสิ ดูการทดลองของข้า ผลลัพธ์ที่ได้ช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
หลี่ไท่ก้มลงมองนิ้วเท้าของตัวเอง เขาตัดสินใจที่จะไม่เงยหน้าขึ้นไปดูบั้นท้ายที่อวบอั๋นของไฮปาเทีย เดินตามนางเข้าไปในห้องทำงาน เห็นว่ามีกะละมังทองแดงสองใบวางอยู่บนชั้น กะละมังหนึ่งเต็มไปด้วยน้ำ อีกกะละมังเต็มไปด้วยน้ำแข็ง กะละมังที่มีน้ำไม่มีอะไรผิดปกติ แต่กะละมังที่มีน้ำแข็ง น้ำแข็งกลับอยู่สูงถึงขอบกะละมัง เห็นได้ชัดว่ามันอยู่สูงกว่าน้ำ
“เจ้าดูสิ ขนาดของน้ำที่อยู่ในสถานะที่แตกต่างกันมันไม่เหมือนกัน ทั้งสองใบล้วนแต่เป็นน้ำที่มีปริมาณเท่ากัน แต่หลังจากที่มันแข็งตัวแล้วมันกลับมีปริมาณมากกว่าน้ำธรรมกว่าหนึ่งเท่า หากต้มแล้วกลายเป็นไอน้ำ มันก็จะยิ่งมีมากขึ้นไปอีก ดังนั้น ตารางความหนาแน่นของเจ้าต้องรีบแก้ไข ตอนนี้มันยังไม่สมบูรณ์แบบ เจ้ายังมีภารกิจอีกมากมายที่ต้องทำ ไปเถอะ ข้าไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของเจ้า”
หลี่ไท่อ้าปาก เห็นว่าตัวเองไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ เขาแอบมองไปที่หน้าอกของอาจารย์ อาจารย์ช่วยเขาไว้ ถือว่าเขาติดหนี้บุญคุณนาง แล้วอีกอย่าง อาจารย์พูดถูกต้อง ตารางความหนาแน่นของเขาต้องปรับปรุงให้ดีกว่านี้ เขาจึงโค้งคำนับให้อาจารย์ หันหลังเดินลงบันไดไปทีละก้าว เดินมาถึงชั้นล่างก็ถอนหายใจและเดินกลับไปหลังภูเขา
ไฮปาเทียมองดูหลี่ไท่เดินออกไปไกลแล้ว ยื่นมือออกไปหยิบน้ำแข็งในกะละมังออกมากิน หยิบตารางความหนาแน่นของหลี่ไท่ขึ้นมาดูอีกครั้งแล้วพูดกับตัวเองว่า “ไอ้เจ้านี่ช่างอัจฉริยะจริงๆ ของสิ่งนี้ก็ทำออกมาได้ ไม่รู้ว่าสมองดีแค่ไหน อยากจะใช้คณิตศาสตร์มาแสดงวัตถุทั้งหมดบนโลก หากเป็นเช่นนี้ มันจะช่วยให้มนุษย์รู้จักโลกของตัวเอง ดูเหมือนว่าคำพูดของมุฮัมมัดที่พูดไว้ว่าถึงแม้ความรู้จะอยู่ไกลแต่ก็ควรไปแสวงหา ประโยคนี้ที่พูดไว้ไม่มีผิดเลย”
หันไปมองที่หนังสือกองสูงบนโต๊ะของตัวเอง นางก็ถอนหายใจ หยิบหนังสือออกมาเปิดอ่าน กลับเข้าสู่โลกที่สร้างขึ้นด้วยตัวเลขอีกครั้ง
ขณะนี้บรรยากาศที่บ้านของอวิ๋นเยี่ยช่างครึกครื้น เหยียนจือทุย หลี่กัง อวี้ซัน ขงอิ่งต๋า และฉู่ซุ่ยเหลียง นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งฉางอันล้วนแต่มานั่งอยู่ในบ้านของเขา รอให้อวิ๋นเยี่ยแต่งบทกวีที่ยอดเยี่ยมตามแบบของเขาให้พวกเขา
“ไอ้หนุ่ม แต่งออกมาวันนี้ให้ได้ หากทำไม่ได้อย่าหาว่าข้าใจร้าย หากบทกวีแต่งออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้ คงไม่จำเป็นต้องมีพวกข้า ข้าท่องกวีมาแล้วกว่าแปดสิบปี แต่ก็ไม่เคยแต่งบทกวีที่งดงามถึงเพียงนั้นได้ หากเจ้ากล้าใช้บทกวีของอาจารย์เจ้ามาหลอกลวงผู้คน วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
หัวล้านๆ ของเหยียนจือทุยกำลังเดือดพล่านด้วยความโกรธ ถือไม้เท้าอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าที่ทำอยู่เช่นนี้มันยังไม่เพียงพอที่จะแสดงความโกรธของเขาด้วยซ้ำ
ตอนนี้แม้แต่ลำไส้ของอวิ๋นเยี่ยยังรู้สึกผิด วันนั้นเขาดื่มเหล้ามากเกินไปจริงๆ ควบคุมสมองของตัวเองไม่อยู่ อยากจะออกหน้าแทนเหล่าแม่ทัพ โง่จริงๆ เลย
เหล่าผู้เฒ่าไม่เท่าไหร่ แต่ว่าจั่งซุนที่กำลังจิบชาอยู่หลังม่าน มีท่านย่าอยู่เป็นเพื่อน มีซินเย่วคอยรับใช้ บอกว่าวันนี้เป็นเรื่องบังเอิญ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นความสนุกแบบนี้
อวิ๋นเยี่ยไม่สงสัยเลยสักนิดว่าผู้กำกับครั้งนี้คือคนที่กำลังนั่งอยู่หลังม่าน ตอนนี้เขาขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ดูจากรอยยิ้มของจั่งซุนเขาก็รู้แล้วว่าวันนี้นางจะมาดูความสนุก
“ไอ้หนุ่ม ไม่อยากจะทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าแค่ใช้หญ้าบนพื้นแต่งบทกวีออกมาให้ข้าดูก็พอ” เหยียนจือทุยเบิกตาโตมองมาที่อวิ๋นเยี่ยราวกับตาวัว เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะสามารถแต่งกวีจากหัวข้อที่เขาพูดออกไปตามอำเภอใจได้
ไม่อยากทำก็ต้องทำ จะวิ่งไปไหนก็ไม่ได้ ฉู่ซุ่ยเหลียงกับขงอิ่งต๋าดักอยู่ที่ประตู จั่งซุนเห็นอวิ๋นเยี่ยร้อนรนราวกับมดบนหม้อไฟก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ซินเย่วมองท่านพี่ด้วยความกังวล นางรู้สึกเป็นห่วงเขามากทีเดียว
“ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม” อวิ๋นเยี่ยท่องประโยคแรกออกมา ในใจขอร้องให้อาจารย์ไป๋เหล่าให้อภัย เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ คนพวกนี้กดดันเขาเกินไป
“ถูกต้อง ถือว่าตรงประเด็น ต้นหญ้าเขียวชอุ่มจริงๆ” เหยียนจือทุยหลับตาแสดงความคิดเห็น
“หนึ่งฤดูมีสีเหลือง”
“ประโยคนี้ก็ค่อนข้างตรงประเด็น หญ้ามักจะเ**่ยวเฉาปีละครั้ง ท่องต่อไป หากท่องสองประโยคถัดไปไม่ได้ ข้าจะลงไม้ลงมือแล้ว”
“ไฟป่าอันโหดเ**้ยมแผดเผาใบไม้แห้ง ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านหญ้าก็กลับมาเขียวอีกครั้ง” อวิ๋นเยี่ยท่องสองประโยคสุดท้ายในครั้งเดียว ความโมโหบนใบหน้าของเหยียนจือทุยก็หายไปทันที เขาท่องกวีบทนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วก็พูดกับจั่งซุนที่อยู่หลังม่านว่า “ไอ้เจ้านี่แต่งกวีได้ไม่เลวเลยทีเดียว ฮองเฮาโปรดคลายความสงสัย กวีบทนี้สำหรับกระหม่อมแล้วมันคือกวี ‘นิราศเหลียงโจว’ ยิ่งเป็นกวีที่เรียบง่าย ที่จริงแล้วมันคือกวีที่ประณีตที่สุด ตอนที่แต่งกวีบทนี้ออกมา กระหม่อมพอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะแต่งออกมาได้เช่นไร ถึงแม้ว่าจะเป็นหมูป่าที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น แต่มันก็คือบทกวีที่ยิ่งใหญ่ในต้าถังของกระหม่อม”
จั่งซุนขอบคุณเหยียนจือทุย กัดฟันและพูดกับอวิ๋นเยี่ย “หากเจ้าแต่งกวีตามภาพวาดนี้ได้ ข้าถึงจะเชื่อ” เดิมทีจั่งซุนหมายความว่าภาพวาดเสือในห้องโถง แต่คิดดูแล้วไม่เหมาะสม นางจึงชี้ไปที่ภาพวาดดอกไม้และนกที่อยู่บนโต๊ะ ภาพวาดช่างดูมีชีวิตชีวา ภูเขาลำธารดอกไม้และนก ไม่มีโครงสร้าง ไม่มีกฎเกณฑ์ เป็นภาพวาดที่เรียบง่ายที่สุด นี่เป็นภาพวาดมงคลของจิตรกรในหมู่บ้าน ใครจะแต่งกวีจากภาพวาดนี้ได้กัน
ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยหดตัวเป็นซาลาเปา แม้แต่เหยียนจือทุยก็ยังเบิกตามองฮองเฮาจั่งซุน พึมพำพักหนึ่งและหลับตาลงอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจกับหัวข้อของฮองเฮาจั่งซุนสักเท่าไหร่
“ทำไม เจ้าทำไม่ได้หรือ อาจารย์ของเจ้าไม่เคยแต่งกวีเช่นนี้หรือ หากเจ้ามีความสามารถก็ลองแต่งออกมาให้ข้าดู” จั่งซุนแทบจะหัวเราะขึ้นฟ้า หากอาจารย์เฒ่าไม่อยู่ด้วย นางคงทำเช่นนั้นไปแล้ว
“มองดูภูเขาอันงดงามจากไกลๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ กลับไม่ได้ยินเสียงน้ำไหล ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปแล้วแต่ยังมีดอกไม้ที่สวยงาม คนเดินเข้าไปใกล้ๆ นกก็ไม่ตกใจบินหนี” อวิ๋นเยี่ยท่องสี่ประโยคนี้ออกมา กำมือขอร้องอ้อนวอนอย่าให้เขาแต่งกวีอีกเลย ช่างทรมานเหลือเกิน ต่อไปเขาจะไม่แต่งกวีอีกแล้ว
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 13 มรสุมในอุดมคติของหลานหลิง
เมื่อจั่งซุนกลับมาถึงพระราชวังก็ยังโมโหไม่หาย หลี่ซื่อหมินเห็นแบบนี้เขาก็แค่ส่ายหน้า ยิ้มและหันหน้ากลับไปคุยกับหลานหลิงที่กำลังถือชามเล็กๆ อยู่ในมือ “หลานหลิง นี่คือลูกอมนมที่เจ้าทำหรือ”
“ใช่แล้วเพคะเสด็จพ่อ ลูกพึ่งทำเสร็จใหม่ๆ เสด็จพ่อลองชิมดูเพคะ” หลานหลิงยืนเขย่งเท้ายกชามขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้เสด็จพ่อหหยิบง่ายหน่อย
หลี่ซื่อหมินลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นท่าทางที่คาดหวังของหลานหลิง เขาจึงหยิบเม็ดที่เล็กที่สุดในชามออกมายัดเข้าไปในปาก เคี้ยวไปสองสามที จากนั้นก็พูดกับจั่งซุนด้วยความตกใจว่า “ฮองเฮา เจ้าลองชิมดู ขนมหวานที่หลานหลิงทำไม่เลวเลยทีเดียว”
จั่งซุนเงยหน้าขึ้นมองพ่อลูกคู่นี้ พิงเก้าอี้นุ่มและเอ่ยว่า “ท่านลองชิมเยอะๆ หน่อย หม่อมฉันเคยกินแล้ว นมตั้งหลายสิบถังทำออกมาแค่เท่านี้จะไม่อร่อยได้เช่นไร ลูกสาวของท่านจะหาเงินจากของสิ่งนี้ หม่อมฉันซื้อไปแล้วสิบเหรียญ หยางเฟยกับสนมอินก็ซื้อไปไม่น้อย ได้ยินมาว่าชิงเชวี่ยซื้อไปหนึ่งร้อยเหรียญ ท่านลองถามลูกสาวของท่านสิว่าเดือนนี้นางหาเงินในวังได้เท่าไหร่แล้ว”
ได้ยินที่ฮองเฮาพูด หลี่ซื่อหมินก็หยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ก้มตัวลงไปถามหลานหลิง “ไหนเจ้าลองบอกพ่อมาหน่อยสิว่าเจ้าคิดที่จะเอาของสิ่งนี้มาขายได้อย่างไร ใครเป็นคนสอนเจ้าหรือเปล่า”
“คืนที่พายุฝนฟ้าคะนอง หลานหลิงกำลังนอนหลับอยู่ ข้าฝันเห็นชายเฒ่าที่มีหนวดขาวคนหนึ่งกำลังทำอะไรอยู่ที่เตา ข้าจึงไปยืนดูอยู่ข้างๆ หลังจากที่ชายเฒ่าคนนั้นทำเสร็จแล้วเขาก็บอกกับข้าว่า ‘ทำเป็นหรือยัง หากทำเป็นแล้วก็กลับไปทำเอง’ ซุนเทพเซียนยังบอกอีกว่าของสิ่งนี้เป็นของดี เอาไปหาเงินก้อนใหญ่ได้ จากนั้นลูกก็ตื่นพอดี”
แต่งเรื่องได้ดีเลยทีเดียว หลี่ซื่อหมินมักจะรู้สึกว่าประโยคพวกนี้คุ้นๆ จั่งซุนจึงพูดต่อว่า “ไม่ว่าใครถามก็มีแค่ประโยคไม่กี่ประโยคนี้ ก็ไม่รู้เช่นกันว่าชายเฒ่าหนวดขาวคนไหนแอบเข้ามาในวังและแอบเข้าไปในฝันของหลานหลิง หม่อมฉันถามแล้วตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ยอมพูด ถามต่ออีกก็ร้องไห้ หม่อมฉันจึงไม่ถามอีก”
“ฮองเฮา เจ้าไม่คิดว่าที่ซุนเทพเซียนบอกว่าดี ประโยคนี้ฟังดูคุ้นๆ หูหรือ เราจำได้ว่าตอนที่พ่อค้าขายแป้งขายแป้งตั๊กแตนให้เราเขาก็พูดประโยคนี้ ตอนที่ซื้อสาหร่ายทะเลก็พูดเช่นนี้ ตอนนี้ก็เป็นเหมือนกัน มาถึงขนมหวานชิ้นเล็กๆ แล้ว เอ่อใช่ วันนี้เจ้าไปตระกูลอวิ๋นได้อะไรมาบ้าง”
“บางครั้งข้าก็นึกอยากจะเอาสมองของพวกเขามาดูว่าข้างในมันคืออะไร ได้กวีมาสองบท แล้วยังถูกอาจารย์เหยียนจือทุยสั่งสอนเข้าให้อีก”
หลี่ซื่อหมินเคี้ยวลูกอมนม อุ้มหลานหลิงขึ้นมานั่งบนตักแล้วพูดกับจั่งซุน “ท่องกวีสองบทนั้นให้เราฟัง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงวิธีการ”
“บท ‘ฉ่าวหยวนโบราณ’ เหยียนจือทุยบอกว่ากวีบทนี้คือกวีชั้นดี ‘นิราศเหลียงโจว’ ถึงจะมีแค่สี่ประโยค ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่สี่ประโยคนี้ก็ไม่ได้ง่ายดาย ท่านฟังให้ดี ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม หนึ่งฤดูมีสีเหลือง ไฟป่าอันโหดเ**้ยมแผดเผาใบไม้แห้ง ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านหญ้าก็กลับมาเขียวอีกครั้ง เพียงแค่สี่ประโยคนี้ก็สามารถแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองได้ ตัวอักษรถูกเลือกสรรมาได้เป็นอย่างดี”
หลี่ซื่อหมินหยักหน้า กินลูกอมนมอีกชิ้นหนึ่งแล้วพูดกับจั่งซุนว่า “เป็นบทกวีที่ดีจริงๆ แนวคิดและความหมายล้วนแต่เป็นตัวเลือกที่ดี ตัวอักษรก็ไม่ได้งดงามมากจนเกินไป แต่กลับเรียบง่ายและชาญฉลาด แล้วอีกบทหนึ่งคืออันใดหรือ”
“อีกบทหนึ่งไม่ถือว่าดีเท่าไรเพคะ แต่ในแง่ของการพลิกแพลงตามสถานการณ์ก็ไม่เป็นสองรองใคร หม่อมฉันกลัวว่าเขาจะเอากวีของอาจารย์ตัวเองมาหลอกเราอีก หม่อมฉันจึงให้เขาแต่งกวีตามภาพวาดบนโต๊ะ ใครจะไปรู้ เขากลับแต่งออกมาได้ แล้วยังแต่งออกมาดีอย่างคาดไม่ถึง”
“ฮ่าๆ ฮองเฮา เจ้าเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว แต่เราก็อยากได้ยินว่าไอ้เจ้านั่นแต่งกวีนี้ได้เช่นไร รีบท่องให้เราฟังเถิด เรารอไม่ไหวแล้ว”
“มองดูภูเขาอันงดงามจากไกลๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ กลับไม่ได้ยินเสียงน้ำไหล ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปแล้วแต่ยังมีดอกไม้ที่สวยงาม คนเดินเข้าไปใกล้ๆ นกก็ไม่ตกใจบินหนี ฝ่าบาทคิดว่าอย่างไร”
“เราไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ ช่างมันเถอะ เราไม่อยากใช้สมองกันเรื่องพวกนี้ แค่รู้สึกว่าไอ้เจ้านี่ทำลายอารมณ์แต่งกวีของเรา ทำให้เราไม่พอใจเล็กน้อย เอาสมองไปคิดเรื่องเทศกาลฉงหยางแทนเสียดีกว่า”
“เช่นนั้นไม่ได้สิเพคะ ท่านควรจะแก้ไขปัญหาที่ในวังไม่มีนมก่อน หลานหลิงเอาวัวนมไปสิบเอ็ดตัว ในวังก็ไม่มีใครกล้าถาม ตอนนั้นท่านเคยบอกว่า ดื่มนมเท่าไหร่ก็ได้ วัวนมไม่ใช่ของต้องห้าม ดังนั้นตอนนี้หลานหลิงส่งสาวใช้ไปบีบนมวัวทั้งหมดสิบเอ็ดตัวจนหมด ใส่ถังใหญ่กลับไปที่ตำหนักของนาง ตั้งหม้อใบใหญ่ทำลูกอมนม ท่านควรจัดการได้แล้ว”
หลี่ซื่อหมินเกาหัวเบาๆ ตอนนี้ลูกสาวของตัวเองชอบทำอาหารก็เป็นเรื่องที่ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าชายเฒ่าหนวดขาวคนนั้นคืออวิ๋นเยี่ย แต่หลานหลิงกลับไม่ยอมพูดออกมา เขาก็คงทำอะไรไม่ได้ เด็กน้อยยืนหยัดขนาดนี้ ควรให้กำลังใจนาง
“หลานหลิง สุภาพบุรุษต้องรักษาคำพูด แต่เจ้าหาเงินให้ตัวเอง แล้วปล่อยให้คนอื่นในวังไม่มีนมดื่ม เจ้าคิดว่าสิ่งนี้มันสอดคล้องกับคำสอนของอาจารย์หรือไม่?”
หลานหลิงได้ยินเหมือนว่าเสด็จพ่อจะเอาวัวนมของนางไป ทันใดนั้นนางก็น้ำตาไหลออกมาทันที ภายในหนึ่งเดือนนางหาเงินได้ตั้งสามกล่อง แล้วยังออกเงินเดือนให้พวกสาวใช้ ตอนนี้นางเป็นที่นิยมมากในวัง เดินไปไหนก็มีแต่คนเข้ามาพบปะทักทาย พวกเขาล้วนแต่อยากจะย้ายไปทำงานที่ตำหนักซีอวี่ขององค์หญิงหลานหลิงกันทั้งนั้น ไม่เพียงแต่สบายแล้วยังได้เงินเดือนก้อนใหญ่ ทำงานที่อื่นไม่มีทางเทียบได้
อาวุธวิเศษของหลานหลิงก็คือมีน้ำตามากมาย ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กๆ เช่นนี้ไปเอาน้ำตามาจากไหนตั้งมากมายทำเอาหลี่ซื่อหมินไม่รู้จะทำเช่นไร เขาตบไปที่แผ่นหลังของหลานหลิงเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร หากหลานหลิงชอบวัวนมก็ให้ในวังเลี้ยงให้มากสักหน่อย เอามาเลี้ยงอีกสักสิบกว่าตัวก็ได้ ลูกสาวของข้าก็มีความสุขก็พอ”
จั่งซุนกลอกตามองบนใส่พ่อลูกคู่นี้ นางไม่พอใจกับการที่หลี่ซื่อหมินตามใจลูกจนไม่มีหลักการเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นหลี่ซื่อหมินอุ้มหลานหลิงมาอยู่ในอ้อมแขน นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เสด็จพ่อ วัวสิบเอ็ดตัวยังไม่พอ ตอนนี้ลูกติดลูกอมนมตั้งเยอะแยะ ของพี่รัชทายาท ของพี่สี่ ของพี่ห้า แล้วยังมีของท่านลุงเหอเจียน สรุปก็คือติดลูกอมนมตั้งเยอะแยะ วัวสิบเอ็ดตัวนั้นรีดนมจนหมดแล้วก็ยังไม่พอ แล้วน้ำตาลในวังก็ไม่พอแล้ว สาหร่ายสีน้ำตาลก็เหลือไม่มากแล้ว เสด็จพ่อ แม่ของข้าจากไปเร็ว ท่านต้องช่วยข้านะ”
หลี่ซื่อหมินได้ยินเช่นนี้ถึงกับปวดหัว หันหน้าไปมองที่จั่งซุน หวังว่านางจะช่วยเขาได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าจั่งซุนกลับก้มหน้าจิบชา ทำท่าราวกับไม่สนใจพวกเขาสองพ่อลูก เรื่องของการทำการค้าขาย เขาไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ
“เสด็จพ่อ เทพเซียนหนวดขาวบอกแล้วว่าให้ข้าขายลูกอมนมให้กับราชวงศ์ก่อน เรื่องนี้ไม่ได้ยากสำหรับลูก ผู้อาวุโสต่างชอบกินลูกอมนมที่ข้าทำ ขั้นตอนต่อไปคือขายให้กับเหล่าขุนนาง ต่อไปค่อยไปขายที่ตลาด เมื่อลูกอมนมขายออกไปได้ในทุกที่ของต้าถัง ลูกก็จะกลายเป็นเศรษฐีน้อย เสด็จพ่อ ลูกจะเป็นเศรษฐี เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด”
หลี่ซื่อหมินพูดไม่ออก จั่งซุนตกใจจนหน้าเสีย อุดมคติของหลานหลิงช่างยิ่งใหญ่จริงๆ หากนางขายลูกอมนมได้ทั่วต้าถังจริงๆ รายได้ขนาดนั้น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ดูถูกไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้หลานหลิงกำลังทำการค้าขายที่ไม่ได้ใช้ต้นทุน กิจการยิ่งใหญ่เท่าใดราชวงศ์ก็ยิ่งเสียเปรียบมากเท่านั้น
“หลานหลิง เจ้าบอกเสด็จพ่อสิว่าตอนนี้เจ้ามีเงินเท่าไหร่”
หลานหลิงเอากุญแจขนาดใหญ่สามดอกออกมาจากคออย่างมีความสุข เอาให้เสด็จพ่อดู “นี่คือกุญแจกล่องเงินของลูก มีสามกล่องแล้ว ลูกจะสะสมให้ถึงหนึ่งร้อยกล่อง!”
สายตาของหลี่ซื่อหมินเป็นประกาย เขาลูบหัวหลานหลิงเบาๆ และพูดว่า “หากเจ้าชอบวัวนมก็ไปเอามา ไม่มีน้ำตาลก็ไปเอาในกรมวัง สาหร่ายทะเลที่บ้านตระกูลอวิ๋นมีตั้งเยอะแยะ ไปซื้อมาก็ได้ ตอนนี้เจ้าไปเล่นเถอะ พ่อต้องไปอ่านฎีกาสักหน่อย”
หลานหลิงรับรู้ความเห็นว่าเสด็จพ่อสนับสนุนนาง นางจึงกลับไปยังตำหนักซีอวี่ของตัวเองอย่างมีความสุข เตรียมที่จะพาสาวใช้ไปเอาวัวนมหลังห้องอาหารของพระราชวังมารีดนมให้หมด
จั่งซุนรอให้หลานหลิงจากไปและเอ่ยถามว่า “เหตุใดกัน เหตุใดท่านถึงได้ตามใจหลานหลิงถึงเพียงนี้ ทำเช่นนี้มันช่างไม่ยุติธรรมกับองค์หญิงองค์อื่นๆ หลักการที่ว่าไม่กังวลความยากจนแต่กังวลความร่ำรวยที่ไม่เท่าเทียม ท่านก็เข้าใจไม่ใช่หรือ”
“ฮองเฮา ข้าแค่อยากจะดูว่าหลานหลิงจะไปได้ถึงไหนเท่านั้นเอง นางจะสร้างเส้นทางที่แตกต่างให้กับลูกหลาน ระบบศักดินาและประเทศในอนาคตได้หรือไม่ เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่เรื่องที่ดี สมัยก่อนราชวงค์ฮั่นก็คือตัวอย่างหนึ่ง เนื่องจากจำนวนลูกหลานที่เพิ่มมากขึ้น เชื้อราชวงศ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ จะไปเบียดเบียนราษฎรอย่างเดียวไม่ได้ ความขัดแย้งนี้ไม่ช้าก็เร็วคงจะระเบิดออกมา หากหลานหลิงสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ หาทางเจริญก้าวหน้าให้ตัวเอง เราก็ควรสนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าตอนนี้จะสนับสนุนนางเช่นไร มันก็คงจะไม่กระทบกับที่ดินของนางมากนัก”
จั่งซุนพยักหน้าและถามอีกว่า “หลานหลิงมีอวิ๋นเยี่ยคอยช่วยเหลือ เขาคอยชี้ทางหาเงินให้นาง จึงทำให้นางเป็นเช่นนี้ เด็กคนอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาสเช่นนี้จะไม่เสียเปรียบแย่หรือเพคะ”
หลี่ซื่อหมินกะพริบตา กำแขนเสื้อและพูดว่า “ฮองเฮายังดูไม่ออกหรือ อวิ๋นเยี่ยกำลังเขียนฎีกาให้เราผ่านทางหลานหลิง หวังว่าเราจะหยุดระบบศักดินาที่ไม่มีวันสิ้นสุดสักที เขาอยากให้เราให้รางวัลลูกๆ ของเราด้วยวิธีอื่นบ้าง ไม่ใช่แค่ให้รางวัลเป็นที่ดิน
ก่อนหน้านี้ชิงเชวี่ยบอกเราอย่างชัดเจนว่า เขาไม่มีแรง ไม่มีเวลาไปจัดการกับที่ดินของตัวเอง หากเป็นไปได้ เขาอยากจะให้เราเอาที่ดินเหล่านั้นกลับคืนมา ขอแค่เอารายได้ของทุกปีให้เขาก็พอ เขาบอกว่าหากไม่ใช่เพราะการศึกษาต้องใช้เงิน เขาก็ไม่นึกอยากได้แม้แต่เงิน คำขอร้องเช่นนี้ช่างไม่เหมือนใคร ราชวงศ์อื่นกลัวว่าประเทศของตัวเองจะยิ่งใหญ่ไม่พอ มีเพียงราชวังต้าถังของข้าเท่านั้นที่ไม่สนใจที่ดิน ตอนนี้เค่อเอ๋อร์ก็ไม่ค่อยสนใจที่ดินมากนัก เขาเอาแต่ตั้งใจดูแลกรมวัง ราวกับหลงใหลเข้าไปอยู่ข้างในนั้น สำหรับเรื่องของการเงินก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เส้นทางที่เราเคยเดินมา เฉิงเฉียนและคนอื่นๆ ก็คงจะไม่เดินตามอีกแล้ว มันทำให้เรารู้สึกโชคดีเป็นอย่างมาก”
จั่งซุนไม่พูดไม่จา หากไม่มีระบบศักดินา ลูกๆ ของตัวเองยังพออยู่ได้ แต่สมาชิกราชวงศ์อื่นๆ คงจะไม่พอใจ ท่านพี่กำลังฝัน และช่างเป็นฝันที่แสนหวาน สิ่งที่เขาคิดอยู่ทุกวันทุกคืนก็คือไม่อยากให้ลูกๆ ของตัวเองต้องเจอกับความล้มเหลว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมองเห็นแค่แสงอันริบหรี่ที่อยู่ในช่องของก้อนเมฆที่มืดมน แต่ท้องฟ้าก็ยังคงมืดสนิท เขาอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงดินแดนอันสวยงาม
หลี่ซื่อหมินที่เหม่อลอยไปพักหนึ่งกลับมาพูดกับจั่งซุนอีกครั้ง “หากมีรังมดอยู่บนเขื่อน ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวมันก็พัง เจ้าไม่ต้องกังวล เราไม่มีทางดำเนินการตอนนี้แน่นอน ที่ดินของชิงเชวี่ยเราก็จะไม่เอาคืนมา ในเมื่อเรามีวิธีแล้ว เราก็จะค่อยๆ ทำความฝันให้เป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย ตอนนั้นเราบอกเจ้าว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้หญิงที่มีเกียรติที่สุดในโลกไม่ใช่หรือ วันนี้เจ้าก็ได้เป็นแล้วจริงๆ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น