ท่านเทพมาแล้ว 073-084
ตอนที่ 73
ซ้อนแผน
โดย
Ink Stone_Romance
ราชาจิ้งจอกได้ยินจึงคลายคิ้วที่ขมวดออก ลูบเคราพูดว่า “ความเห็นนี้ไม่เลว!” พูดจบก็ทำหน้าเคร่งขรึมกวาดมองมู่จิ่วและลู่ยา “พาตัวไป!” คิดขึ้นได้ว่าเจ้าเด็กที่ยังไม่ทันแจ้งชื่ออาจจะเป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของลู่ยาเต้าจู่ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องเอ่ยเพิ่มไปอย่างหวาดหวั่น “ถึงแม้จะเป็นการจองจำ แต่อย่าทำให้พวกเขาลำบากนัก!”
มู่หรงเส่าชิงไหนเลยจะรู้ถึงอดีตที่เป็นความลับของพ่อเขา? พลันรับเสียงดัง “ขอบพระคุณท่านพ่อ”
นอกประตูมีคนทะยานเข้ามาหลายคน ถือมีดดาบเข้ามาจี้มู่จิ่วกับลู่ยาที่ด้านหลัง จับพวกเขาเดินตามมู่หรงเส่าชิงออกจากตำหนักไป ถึงแม้มู่จิ่วจะดิ้นรนขัดขืนไปตลอดทาง แต่ไหนเลยจะต้านทานไหว? อีกทั้งยังมีมู่หรงเสวี่ยจีจ้องอยู่ข้างๆ ไม่หยุด ไม่มีหนทางอย่างแท้จริง
ฉุดกระชากลากถูกันไปตลอดทาง เดินทะลุสวนดอกไม้ไปกว่าครึ่ง จากนั้นผ่านทางแคบที่มีดงไผ่ด้านหลังภูเขาจำลอง สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอาคารหินแห่งหนึ่ง
อาคารหินถูกสร้างไว้ราวกับเป็นที่พักของบรรพบุรุษสมัยบรรพกาล คงจะมีตั้งแต่ตอนสร้างชิงชิวแล้ว
มู่หรงเส่าชิงกวาดตามองพวกเขาหนึ่งครา พูดว่า “เอาไปขังข้างในก่อน ให้หลิวกวงเล่นกับพวกเขาหน่อย!”
เหล่าผู้อารักขาตอบรับ ทันใดนั้นก็กดกลไกบนผนัง ฉับพลันประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นถ้ำมืดสนิทที่มองไม่เห็นอะไร
มู่หรงเสวี่ยจีพูด “ท่านพ่อบอกให้เราปฏิบัติต่อพวกเขาดีหน่อย”
“เจ้ากลัวอะไร?” มู่หรงเส่าชิงเค้นเสียงเยาะเย้ย “หรือท่านพ่อจะใส่ใจความเป็นความตายของเซียนกระจอกๆ เหล่านี้?”
มู่หรงเสวี่ยจียิ้มน้อยๆ พลางมองลู่ยา กลับไม่พูดอะไรออกมา
ทางผู้อารักขาหมาป่าดันลู่ยากับมู่จิ่วเข้าไปในประตูหิน เดินผ่านทางเล็กๆ ระยะหนึ่งจึงถึงประตูหินอีก หลังจากเปิดประตู ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ผลักพวกเขาทั้งสองเข้าไป
“จิ้งจอกสมควรตาย เจ้าปล่อยข้าออกไป!” มู่จิ่วตะกายประตูหินตะโกนเสียงดัง แต่เสียงของนางยังไม่ทันจบ ประตูหินก็ปิดสนิท!
กลิ่นสาบในถ้ำพุ่งปะทะใบหน้า มืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด!
เท้าทั้งสองของมู่จิ่วเหยียบช่องว่าง ร่างทำท่าจะร่วงลงไป!
วินาทีที่เท้าลงน้ำหนักไป ลู่ยาก็ยื่นมือไปคว้าแขนซ้ายนางไว้ นางพลันรู้สึกราวกับกำลังเหยียบเมฆ ท่วงท่านิ่งและมั่นคง
ลู่ยาหยิบเอาไข่มุกราตรีจากอกมาวางบนมือ สายตาค่อยๆ ตกลงบนจุดที่สว่าง ที่นี่เป็นคุกใหญ่ขนาดครึ่งโม่ว รอบด้านเป็นหินเรียบไร้รอยต่อ ด้านบนก็เป็นหิน ไม่มีทางเข้าของลม ด้านล่างเป็นผืนแผ่นมืดสนิทมองไม่เห็นก้น ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่
หากไม่ใช่เพราะแปดร้อยปีก่อนเรียนวิชาปิดกั้นลมปราณ อยู่ที่นี่คงอยากจะเป็นบ้าทุกๆ นาที!
“ทำไมเจ้าไม่ขัดขืน? ตอนนี้จะทำอย่างไร!”
นางพูดกับเขาอย่างโกรธเคือง ต่างก็พูดกันดีแล้วว่าจะทำคดีด้วยกัน แต่ผลกลับเป็นว่าเขาดูเหมือนไม่ใส่ใจ เขาเก่งกาจขนาดนั้น สามารถรอดพ้นเงื้อมมือของมู่หรงเส่าชิงมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน หากเขาลงมือคงไม่จบลงแบบนี้!
“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ขัดขืน เพราะข้าตั้งใจ” ลู่ยาเลิกคิ้วมองไปรอบๆ น้ำเสียงช่างยียวน
มู่จิ่วเกาะกำแพง อยากกระอักเลือด “หัวเจ้าเคยโดนประตูหนีบมาก่อนใช่หรือไม่? มิฉะนั้นจะใช้ชีวิตยุ่งยากขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ลู่ยาเก็บสายตากลับมาจ้องนาง “หากไม่ทำแบบนี้ ตอนนี้สักแปดเก้าในสิบส่วน พวกเราคงถูกราชาจิ้งจอกไล่ออกจากชิงชิวไปแล้ว เจ้าอยากจะมาเสียเที่ยวหรือ?”
พูดจบเขาก็ถือไข่มุกราตรีส่องไปรอบด้าน ตอนนี้แสงส่องสว่างขึ้นบ้าง แต่นอกจากผนังหินสี่ด้านแล้ว ก็เป็นความว่างเปล่าไม่มีสิ่งอื่นใด “หากพวกเราไม่ใช้ประโยชน์จากมู่หรงเส่าชิงเพื่ออยู่ชิงชิวต่อ เมื่อคิดจะเข้ามาชิงชิวอีกที โดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากไม่ไปดูศพของจิ้งจอกน้อย เจ้าคิดจะจับฆาตกรตัวจริงให้ได้ภายในสามเดือนก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน”
เขาพูดแบบนี้มู่จิ่วก็เข้าใจแล้ว
ที่แท้เขาตั้งใจจริงๆ…
“แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีทางออกไปมิใช่หรือ?” นางแบมือหมุนตัวไปครึ่งรอบ ที่นี่แม้แต่ลมยังเข้ามาไม่ได้ ถึงเขาจะเปลี่ยนร่างได้แล้วมีประโยชน์อย่างไร? เปลี่ยนไปก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี
ลู่ยาไม่ได้ตอบคำพูดนาง แต่กลับสงบเงียบอยู่กลางอากาศ รวมสมาธิเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวของอากาศรอบกาย
ฉับพลันเขาก็โอบรอบเอวมู่จิ่ว บินไปฝั่งตรงข้ามรวดเร็วราวกับฝนดาวตก คล้อยหลังการกระโดดของเขา พื้นดำมืดเบื้องล่างมีนกแร้งดวงตาเขียวสูงหลายจั้งโผล่ออกมา!
ถึงแม้นกแร้งตัวนั้นจะศีรษะเล็กตัวหนา แต่ศีรษะของมันมีขนาดเท่ากับโอ่ง ปีกทั้งคู่เพียงสยายออกมาก็กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งของเรือนจำนี้! ไม่ต้องพูดถึงกรงเล็บนั่นเลย กรงเล็บของซ่างกวนสุ่นที่ว่าใหญ่แล้ว กรงเล็บของนกตรงหน้ายังใหญ่กว่าของเขาอีก! ที่สำคัญคือนกตัวนี้ดวงตาส่องแสงสีเขียว มองพวกนางเป็นอาหารค่ำ!
…หรือนี่คือคู่ประมือที่มู่หรงเส่าชิงเตรียมไว้ให้?!
“กอดข้าให้แน่น!”
ลู่ยาหันมาจับแขนทั้งสองข้างของนางโอบรอบเอว จากนั้นพานางกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แหวกว่ายอยู่ด้านบนราวกับมังกรที่เยือกเย็นและเป็นอิสระ
มู่จิ่วจับเอวเขาไว้แน่น แม้แต่นิดก็ไม่กล้าปล่อย แต่กลิ่นอายหอมหวานบนร่างเขากลับรบกวนนางตลอดเวลา ทำให้นางเสียสมาธิอยู่บ้าง…ปกติเขาดูไม่ค่อยกำยำ ไม่นึกว่าช่วงเอวและแผ่นหลังจะแน่นและกว้างขนาดนี้ เสียงร้องหิวโหยของนกแร้งดังที่ริมหูไม่หยุด แต่เกาะอยู่บนหลังที่บึกบึนแบบนี้ นางกลับไม่เครียดขนาดนั้นแล้ว
“แกว๊กก…”
ต่อสู้กันไปครู่หนึ่ง มู่จิ่วยังไม่รู้แน่ชัดว่าลู่ยาลงมืออย่างไร เพียงได้ยินเสียงร้องแสบแก้วหูของนกแร้งดังเข้ามา จากนั้นเสียงก็พลันเลือนหายไป สุดท้ายแม้แต่เสียงกางปีกก็ไม่มีแล้ว
ลู่ยาเก็บมือยืนให้มั่นคง หันศีรษะไปพูดกับคนข้างหลัง “ปลอดภัยแล้ว ออกมาเถอะ”
มู่จิ่วปล่อยมือ ยืนอยู่บนเมฆ กอดแขนเขาไว้ขณะมองใต้ฝ่าเท้า ด้านล่างยังคงมืดสนิท แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว
“เจ้าจิ้งจอกสมควรตายนั่น จิตใจช่างเหี้ยมโหด จิ้งจอกเฒ่านั่นยังสั่งให้เขาอย่าทำร้ายพวกเรา เขาไม่คิดจะให้พวกเรามีชีวิตอยู่แต่แรกนี่!”
“เขาไม่เพียงแต่มีความสามารถเรื่องนี้เท่านั้น” ลู่ยาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกอย่างสบายๆ เช็ดรอยเลือดบนมือพลางพูด “รวมจิ้งจอกที่ตายไปแล้ว ราชาจิ้งจอกมีลูกชายสี่ลูกสาวสี่ มู่หรงเส่าชิงเป็นคนที่จิตใจคับแคบที่สุดในบรรดาทั้งแปด เขาไม่เพียงเชี่ยวชาญอาวุธสู้รบ แต่ยังเชี่ยวชาญการควบคุมสัตว์ด้วย ทุกวันนี้สัตว์ทั้งชิงชิวไม่ปฏิเสธการควบคุมของเขา”
พูดจบเขาก็คลี่ผ้าเช็ดหน้าออก มองดูมู่จิ่วแล้วพูด “ดังนั้นเขาต้องมีลูกไม้ไว้เล่นกับเราอีกแน่นอน ต่อไปเราต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเขานัก ดวงตาทั้งสองจับจ้องอยู่ที่ผ้าเช็ดหน้าตลอด หลังจากที่คลี่ผ้าออกมาแล้ว รอยเลือดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงค่อยเงยหน้าขึ้นพูด “ทำไมบาดแผลของเจ้าหายเร็วขนาดนี้?”
นางจำได้ว่าบาดแผลที่ได้จากซ่างกวนสุ่นเป็นนางช่วยรักษา และยังเสียเวลาไปอีกหลายวัน เขาอ้างว่ามีพลังร้ายบางอย่างอยู่ในร่าง ถึงแม้บาดแผลคราวนี้จะไม่ร้ายแรงเท่าคราวก่อน แต่ในเมื่อการรักษาแผลของเขาเยี่ยมยอดเพียงนี้ แล้วทำไมต้องมาอยู่พักฟื้นกับนางนานขนาดนั้น?
ตอนที่ 74
ต้องเป็นนายสนม?
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาที่กำลังมองไปข้างหน้าตัวแข็งไปชั่วครู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ามา “เจ้าพูดมาก็ใช่ ข้าก็ประหลาดใจ คราวก่อนโดนนกต้าเผิงทำให้บาดเจ็บ ข้ารู้สึกว่าทั้งร่างราวกับไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรักษาบาดแผลเลย หรือจะเป็นเพราะเขาเป็นเผ่าพันธุ์เทพโบราณจึงมีพลังโจมตีค่อนข้างรุนแรง?”
“น้อยๆ หน่อย!” มู่จิ่วมองค้อนลู่ยา แต่เดิมนางรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่เมื่อเขาพูดแบบนี้ นางก็รู้สึกว่าตนคิดเยอะไปแล้ว
“ตอนนี้พวกเราทำอย่างไรดี?” นางมองไปยังผนังทั้งสี่ด้าน
“แน่นอนว่าต้องตามหาร่างของจิ้งจอกน้อย” ลู่ยามองประตูหินที่ปิดสนิท “ตอนนี้จิ้งจอกน้อยเพียงสูญเสียจิตจิ้งจอกไป ขอแค่รักษาร่างไว้ให้ดี รอจนตามหาจิตจิ้งจอกของเขาพบ ก็จะช่วยเขากลับมาได้ จิ้งจอกเฒ่าต้องนำร่างไปไว้ในที่ที่เหมาะแก่การเก็บรักษาอย่างแน่นอน พวกเราต้องหาเขาให้พบ จากนั้นดูว่าบนร่างมีบาดแผลหรือไม่”
“เจ้าถอยออกไปหน่อย ข้าจะสำรวจดูรอบๆ ปากถ้ำว่ามีทางเข้าออกของลมหรือไม่ หากไม่มี คงทำได้เพียงหาวิธีให้คนข้างนอกเปิดประตูแล้ว”
มู่จิ่วถอยไปตามคำบอก จ้องแผ่นหลังของเขาครู่หนึ่ง พลันพูดออกไปว่า “เจ้าระวังตัวหน่อย”
ลู่ยานิ่งไปเล็กน้อย หันหน้ามายิ้มให้ จากนั้นหันกลับไปสำรวจต่อ
หลังจากที่เมื่อครู่มีนกแร้งเข้ามาลอบโจมตีแล้ว ในถ้ำหินสงบเงียบเหมือนกับจะมีบางสิ่งโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ เพราะแม้แต่เสียงเต้นของหัวใจยังได้ยิน
ถึงแม้มู่จิ่วจะใจกล้า แต่ถูกขังอยู่ในที่มืดสนิทโดยฉับพลัน ก็รู้สึกว่ากลางฝ่ามือมีเหงื่อไหลซึมออกมาบ้าง
“เข้ามาหน่อย” ลู่ยาพลันดึงมือนางมาที่ด้านหลัง “กลัวก็กอดแขนข้าไว้”
“ข้าไม่กลัว” มู่จิ่วปากแข็ง คดีนี้นางร้องขอต่อหลิวจวิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้มา หากแม้แต่นางยังกลัว แบบนั้นจะทำอย่างไรต่อไปได้?
ลู่ยาไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงนางเข้ามาใต้วงแขน ก่อนพูด “เช่นนั้นเจ้าก็ทำเหมือนแขนข้าเย็น ช่วยให้ความอบอุ่นก็พอแล้ว”
มู่จิ่วค้อนเขา ไม่อาจดิ้นรนได้
แต่ตอนนี้เอง เขากลับพลันปล่อยนางออกมา ยกมือปิดปากนาง พูดเสียงเบาว่า “มีคนมา”
มู่จิ่วดวงตาเบิกกว้าง แม้แต่นิดก็ไม่ขยับ รวบรวมสมาธิฟัง ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังเข้ามาจากด้านนอก
จากนั้นบนประตูหินก็มีแสงสว่างขนาดเท่าฝาหม้อส่องทะลุเข้ามา แสงนั้นยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็โปร่งแสง ทำให้ถ้ำหินนี้สว่างเจิดจ้า มีคนหนึ่งอยู่ตรงหินที่ส่องสว่างนั้น เผยให้เห็นเพียงแค่ครึ่งร่าง เสื้อสีน้ำเงิน สร้อยกระพรวนทองร้อยหินมีค่าสีน้ำเงิน ช่วงปลายของหินสีน้ำเงินนี้คือดวงตาอันเฉียบคม คนที่มาเป็นมู่หรงเสวี่ยจีนี่เอง!
มู่หรงเสวี่ยจีร้องเฮอะเยาะเย้ยพวกเขา “หลิวกวงถูกพวกเจ้าสังหารไปแล้ว?”
ใจของมู่จิ่วเหมือนมีคลื่นสาดซัดเข้ามาคลื่นแล้วคลื่นเล่า! เจ้าปีศาจจิ้งจอกนี่มาทำอะไร?
“ไม่ใช่” ลู่ยาตอบ “แต่ในสามสิบถึงห้าสิบปีนี้คงจะลุกขึ้นมาไม่ได้”
มู่หรงเสวี่ยจีสายตาเย็นเยียบ พูดว่า “ที่แท้เจ้าก็มีความสามารถอยู่หลายส่วน!”
ลู่ยายักไหล่ ไม่แสดงออกอะไร
มู่หรงเสวี่ยจีกัดฟัน มองเขาอย่างแค้นเคือง หมุนตัวเดินไปหลายก้าว ก็พลันหยุดลงแล้วหันกลับมา จ้องเขาแน่นิ่งหลังผนังหินสว่างที่ขวางกั้น “ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้ พี่รองของข้าไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายขนาดนั้น! หากเจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง ข้าสามารถปล่อยพวกเจ้าออกไปได้”
“เรื่องอะไร เจ้าพูดเร็ว! หากทำได้พวกเราต้องรับปากแน่!”
มู่จิ่วกระโดดเข้าไปแนบอยู่กับผนังหิน
มีโอกาสแบบนี้ช่างดีจริงๆ ก่อนหน้านี้มู่จิ่วเข้าใจไปว่าจิ้งจอกน้อยตนนี้เป็นคนไม่ดี คิดไม่ถึงว่านางจะพูดด้วยได้เหมือนกัน!
มู่หรงเสวี่ยจีกวาดตามองนางอย่างเย็นชา จากนั้นพูดกับลู่ยา “รั้งอยู่ที่นี่เป็นผู้อารักขาให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป ไม่เพียงแต่ปล่อยไป ข้ายังจะช่วยพูดกับท่านพ่อให้ช่วยเหลือพวกเจ้าทำคดีด้วย”
“อะไรนะ?!”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปบ้าง
ให้ลู่ยารั้งอยู่ต่อทำหน้าที่ผู้อารักขา?
นางหันไปมองลู่ยา
“ไสหัวไปซะ!”
ลู่ยาจ้องนาง ปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องคิด เจ้าจิ้งจอกน้อยกลับสนใจในตัวเขา ช่างรนที่ตายนัก!
“หากเจ้ารับปากข้า ข้ารับประกันว่าพี่รองข้าจะไม่มาหาเรื่องพวกเจ้าอีก!” มู่หรงเสวี่ยจีกัดฟันพูด “ไม่มีคนใดสามารถหลุดรอดจากเงื้อมมือของพี่รองอย่างไร้รอยขีดข่วน! ข้าให้เกียรติแก่เจ้า เจ้าไม่ควรไม่รู้จักบุญคุณ!”
ลู่ยาสีหน้าเข้ม แม้แต่มุมสายตายังไม่เหลือบแลนาง
มู่จิ่วมองเขาแล้วมองมู่หรงเสวี่ยจี อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไปยังด้านล่างผนังหินอย่างระมัดระวัง ก่อนกล่าวว่า “ขอถามเจ้าหน่อย ผู้อารักขาที่แท้ต้องทำอะไรบ้าง?”
มู่หรงเสวี่ยจีเหลือบมองนาง ไม่พูดอะไร
มู่จิ่วพูด “เจ้าไม่พูด ข้าก็ช่วยเจ้าโน้มน้าวไม่ได้นะ”
นางกรอกตาไปครึ่งรอบ พูดว่า “เป็นผู้อารักขาขององค์หญิงจิ้งจอก ต้องทำหน้าที่แทนราชบุตรเขย”
ทำหน้าที่แทนราชบุตรเขย? นั่นมันต้องการนายสนมแล้ว?!
จิ้งจอกเลือกคู่ครองเข้มงวดเป็นที่สุด แต่สำหรับเรื่องส่วนตัวกลับทำตามอำเภอใจอย่างมาก จิ้งจอกจอมยั่วตนนี้ดูแล้วคงถูกตาต้องใจลู่ยา เพียงแต่ไม่อยากให้กำเนิดบุตรกับเขา ดังนั้นจึงให้เขาเป็นผู้อารักขา?
ลู่ยายังออกมาทำคดีกับนาง เขาจะรั้งอยู่ที่ชิงชิวได้อย่างไร?
นางจะลืมมิตรภาพแล้วทิ้งเขาไว้ที่นี่ได้อย่างไร?!
แต่คิดดูแล้ว นี่ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ ยังไงเขาก็ไม่มีที่ไป ไม่สามารถรั้งอยู่ที่สวรรค์ตลอดไปได้ วันนี้ไม่ง่ายนักที่จะมีคนรับเขาไว้ อยู่ที่ชิงชิวมีจิ้งจอกจอมยั่วปกป้อง ทั้งชีวิตนี้จะต้องกังวลอะไรอีก?
ที่สำคัญคือจิ้งจอกพราวเสน่ห์ตนนี้รูปร่างหน้าตาสะสวยนัก ยังไงก็เป็นเขาที่ได้เปรียบ จิ้งจอกยังรับปากว่าเพียงแค่เขายอมทำตาม นางก็จะไปโน้มน้าวราชาจิ้งจอกให้ร่วมทำคดี ยังรับประกันอีกว่าจิ้งจอกเงินจะไม่สร้างความลำบากให้อีก มีเงื่อนไขดีขนาดนี้ แค่เป็นผู้อารักขาคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง? ออกมาก็พานพบหญิงงาม ใจของเขาคงดีใจจะแย่…
คิดเช่นนี้แล้ว นางจึงกลับไปข้างกายลู่ยาอย่างรนหาที่ตาย จิ้มเอวเขาพลางพูด “มิสู้เจ้ายอมนางเถอะ?”
ลู่ยามองมาด้วยสายตาโหดเหี้ยม
นางลูบคอ ทำใจกล้าพูด “เจ้าคิดดู อันดับแรกชิงชิวมีอำนาจมากมายขนาดนั้น ราชาจิ้งจอกต้องปกป้องเจ้าได้แน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องติดตามข้าแล้ว และเจ้าก็อายุไม่น้อย ควรจะลงหลักปักฐานเสียที เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ ฝึกตนไปพลาง เป็นผู้อารักขาไปพลาง หากดูแลคนเขาดี ไม่แน่ว่ายัง…นี่…”
นางยังพูดไม่จบ ร่างทั้งร่างก็ถูกลู่ยาใช้พลังฤทธิ์แขวนไว้กลางอากาศ
“นี่เจ้าทำอะไร!”
นางโกรธขึ้งอยู่กลางอากาศ “ข้าทำเพื่อเจ้าทั้งนั้นนะ!”
ลู่ยาเพียงยกมือก็ผนึกปากนางไว้ พลังขุมหนึ่งปะทะเข้าไปที่ผนังหิน แสงบนผนังหินนั้นพลันจางหายไป
นอกประตูมีเสียงร้อง ‘อ๊า’ ดังขึ้นอย่างเจ็บปวด มู่หรงเสวี่ยจีลอยออกนอกประตูไปไกล!
“เจ้ากล้าไม่รับความหวังดี!”
ด้านนอกมีเสียงตะโกนของมู่หรงเสวี่ยจี จากอับอายกลายเป็นเดือดดาล จากนั้นก็มีเสียงเปรี้ยงเปรี้ยง ดังขึ้น ฟังดูแล้วเหมือนกับประตูหินด้านนอกชนกับประตูหินอีกสองบาน
ลู่ยากลับไม่สนใจ แม้แต่มู่จิ่วก็คร้านจะสนใจ เขาเดินเข้าไปในมุม กางเขตพลังที่เขาใช้ที่ลานจื่อหลิงในตอนแรกออกมา แล้วนอนหลับอยู่บนเตียง
มู่จิ่วหมดคำพูดจริงๆ แต่เดิมก็ออกไปไม่ได้ คราวนี้ยังไปแหย่จิ้งจอกจอมยั่วเข้าอีก พวกเขายังจะออกไปได้อีกหรือ?! เจ้าควรเออออไปตามเรื่องก่อนจนนางหลงเชื่อแล้วค่อยว่ากันก็ยังดี!
“รีบปล่อยข้าลงไป!”
ตอนที่ 75
ที่แท้ก็เป็นนาง?
โดย
Ink Stone_Romance
แสงจันทร์นอกหน้าต่างตกกระทบลงมา สาดส่องต้นไม้ในสวนจนเกิดเป็นเงาพร้อย
ลมเย็นพัดจากใต้ไปเหนือ จากยอดเขามายังตีนเขา พัดแนวต้นสนบนยอดเขาของสำนักแรกพยับเสียดสีกันจนเกิดเสียง
เสียงหวีดหวิวต่ำๆ ของป่าสนฟังแล้วช่างบาดหู แต่ท่านอาจารย์ผู้ก่อตั้งของสำนักแรกพยับกลับชอบต้นสน ไม่เพียงแต่ปลูกต้นสนบนยอดเขาหลายสิบลูก แม้แต่กระถางต้นไม้ในลานบ้านยังปลูกต้นสน
หลินเจี้ยนหรูไม่ชอบต้นสนเพราะมีหนอนผีเสื้อ พอถึงฤดูใบไม้ผลิ หนอนผีเสื้อสีดำเล็กๆ ใหญ่ๆ ก็จะปีนขึ้นมาในโรงเก็บฟืน ในกิ่งไม้ บนเก้าอี้ ในผ้าปูเตียง มุมไหนต่างก็ยากจะหลีกเลี่ยง หากไม่ระวังก็สามารถจับได้กำมือหนึ่ง
พูดกันตามเหตุผล หนอนแมลงเหล่านี้ปีนไม่ถึงถ้ำคุ้มมรกต เพราะถ้ำทั้งในและนอกลานบ้านต่างก็มีปราการเซียน ไม่ต้องพูดถึงหนอนผีเสื้อที่เข้ามาไม่ได้ กระทั่งงูยังเข้าไม่ถึง แต่ที่ๆ เขาอยู่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างหลักของถ้ำ เป็นเพียงห้องเก็บฟืนสามห้องตรงลานบ้านทางทิศตะวันตก ศิษย์ที่เข้ามาใหม่ทุกๆ วันต้องหาฟืนก่อไฟ ดังนั้นจึงไม่อยู่ในเขตปราการเซียน
หลังจากผ่านขั้นจู้จี ถึงแม้เขาไม่ต้องอยู่ห้องเก็บฟืนแล้ว แต่วันคืนอันโหดร้ายเหล่านั้นกลับฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
เขายืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน มองพระจันทร์บนท้องฟ้า จิตใจสงบนัก
ใช่แล้ว สุดท้ายเขาก็ยังกลับมา
ที่หอวิหคแดง คำพูดของเหลียงชิวฉานเหมือนมีดที่ใช้ทำร้ายเขา นั่นไม่เพียงแต่ดูถูกกันเท่านั้น ยังทำให้ความหวังของเขามลายหายไปด้วย
เขาเข้าใจไปว่ารากฐานวิญญาณของเขาถูกชำระล้างจนสะอาดแล้ว แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
หลินเจี้ยนหรูต้องกลับมาหาข้อเท็จจริง เขายังอยากใช้ชีวิตฟ้าหลังฝนของตนเอง ทั้งยังต้องฟื้นฟูจิตต้นกำเนิดของแม่แท้ๆ เขาจะยอมแพ้ไม่ได้
“กลางคืนวันนี้ พวกเจ้าสี่คนผลัดเวรกัน”
ขั้นบันไดมีคนเดินเข้ามาสามคน หญิงที่เดินนำมาหางตาชี้ คิ้วยกสูง สายตาเย็นเยียบ คนด้านหลังสองคนสวมเสื้อสีม่วง คางเชิดสูง คือจีหมิ่นจวินภรรยาของหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางและจีเพ่ยฟางลูกสาวทั้งสอง
สำนักแรกพยับอยู่ห่างจากสวรรค์หมื่นลี้ในเขตอาณาจักรจื่อจิว และเป็นสำนักประจำอาณาจักร อำนาจของสำนักแรกพยับยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาเขตนี้
ตระกูลจีเป็นแซ่ของอาณาจักร จีหมิ่นจวินเป็นคนในราชวงศ์ ลูกสาวลูกชายที่นางให้กำเนิดล้วนแซ่จี แต่หลินเจี้ยนหรูแซ่หลิน เป็นเพราะแต่แรกจีหมิ่นจวินก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าเขาจะแซ่หลินหรือไม่
หลายวันมานี้เป็นเพราะสำนักแรกพยับเกิดเรื่อง ดังนั้นเหล่าคนในอาณาจักรจึงหวาดกลัวสับสน เพราะคนที่มีความสามารถสูงในสำนักสองคนอย่างผู้อาวุโสจื่ออิงเจินเหรินหลินเฟิงและอู่หยางเจินเหรินหลินเซี่ยถูกโจมตี ตอนนี้จื่ออิงเจินเหรินเสียชีวิตแล้ว ส่วนอู่หยางเจินเหรินได้รับบาดเจ็บหนักไม่รู้สึกตัว และตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ลงมือ
หลินเซี่ยนอนอยู่บนเตียงมาสิบวันไม่มีท่าทีว่าจะฟื้น หลังจากเจ้าสำนักหัวชิงลงมือรักษาเพิ่มพลังให้เขาด้วยตนเอง ถึงลืมตาตื่นขึ้นมาได้ จีหมิ่นจวินสั่งให้ลูกชายลูกสาวทั้งสามอยู่ข้างเตียงเพื่อผลัดเวรกันเฝ้าป้อนยา ส่วนศิษย์ของหลินเซี่ยเฝ้าอยู่ที่นอกประตูยามค่ำคืน วันนี้ช่วงบ่ายหลินเจี้ยนหรูเพิ่งเร่งรีบกลับมาจากสวรรค์กับพวกจีหย่งฟาง งานกะกลางคืนจึงแบ่งให้เขาไป
ตามเหตุผลแล้ว ในฐานะลูกชายของหลินเซี่ย เขาควรจะได้อยู่ป้อนยาในห้องกับพวกจีหย่งฟาง แต่จีหมิ่นจวินกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
เขาก็ไม่มีคำบ่นใดเช่นกัน
เมื่ออยู่ที่สำนักแรกพยับ การกีดกันและการกดดันเขาอย่างออกหน้าออกตาไม่รู้มีมากมายเท่าไหร่
เหมือนกับที่เขาพูดกับเหลียงชิวฉาน ไม่มีใครถือว่าเขาเป็นลูกชายของหลินเซี่ย นอกจากตอนที่มีคำขอร้องต่อเขาเท่านั้น
“ศิษย์น้องน้อมรับคำสั่ง!” คนที่เหลืออีกสามคนตอบรับอย่างเต็มที่
เขาก็พยักหน้า
จีหย่งฟางเดินผ่านหน้าเขา ทำเสียงเหอะเยาะเย้ยขึ้นจมูก จากนั้นก็เดินตรงเข้าห้องไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธ
หากเรื่องที่รากฐานวิญญาณของเขาไม่สะอาดเป็นเรื่องจริง หากเขาไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ตลอดไป เช่นนั้นจะโกรธแค้นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไปก็ไม่มีความหมาย
เขากำลังจะนั่งลงบนขั้นบันไดหิน ประตูห้องที่ด้านหลังพลันเปิดออก
จีหย่งฟางสีหน้าเย็นชาโผล่ออกมาจากด้านใน “ไปที่ห้องของอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก เอายาชำระไขกระดูกมาสองเม็ด!”
พูดจบก็ไม่รอเขาตอบ ปิดประตูลงดังปัง
เขาไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่ได้หยุด หมุนตัวไปยังถ้ำของเจ้าสำนักทันที
เขารู้ว่ายอดเขาทิวเที่ยงที่ห่างจากยอดเขาคุ้มมรกตไปไม่ไกลมีน้ำพุเซียนอยู่ เพียงแค่หยดเลือดลงไปหยดหนึ่ง หากรากฐานวิญญาณบริสุทธิ์ น้ำจะเปลี่ยนเป็นใสสะอาด หากรากฐานวิญญาณไม่บริสุทธิ์ น้ำก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง
เขาต้องหาโอกาสไปลองดูให้ได้โดยเร็วที่สุด
อีกทั้งยอดเขาขลุ่ยหยกที่เชื่อมต่อกับถ้ำของเจ้าสำนัก ก็ไม่ไกลจากยอดเขาทิวเที่ยง ถึงตอนนั้นเขาสามารถหาโอกาสไปทดลองดูได้
ยอดเขาขลุ่ยหยกเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของสำนักแรกพยับ เรียกว่าทำเนียบเซียนหัวซิง เจ้าสำนักเรียกว่าหัวชิงเต้าเหริน
หลินเจี้ยนหรูไปที่ยอดเขาขลุ่ยหยกก่อน ตอนนี้ไฟในอาคารเซียนยังสว่างราวกับกลางวัน เงาคนในหน้าต่างดูพลุกพล่าน เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้อาวุโสในสำนักกำลังหารือกันอยู่
ผู้อาวุโสในสำนักได้รับบาดเจ็บพร้อมกันถึงสองคน นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบห้าร้อยปี เจ้าสำนักชอบระดมสมอง เกือบทุกคราวเมื่อมีเวลาว่างจะเรียกคนมาเปิดประชุม เขาเห็นเรื่องประหลาดนี้จนชินแล้ว
เขาเดินเข้าไป คิดจะบอกเซียนเด็กถึงเหตุผลที่มา เซียนเด็กกลับไปเดินเล่นอู้งานอยู่ที่ไหนไม่รู้
เขาจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปด้วยตนเอง ก้าวผ่านสวนดอกไม้เล็กๆ ตรงกลาง ไปตามเสียงคนที่ไหลมาบางเบา
“…คิดไม่ถึงว่าจะทำร้ายเซียนของสำนักเราถึงสองท่าน จิ้งจอกแห่งชิงชิวจะทำเกินไปแล้ว! ไม่รู้ว่าวิมานหลีเฮิ่นมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”
คนในห้องโกรธอย่างมาก เสียงแต่ละคำไม่หลุดรอดหูของหลินเจี้ยนหรูไปได้
ฟังถึงตรงนี้เท้าของเขาหยุดลงตามสัญชาตญาณ คนที่พูดคือหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักซึ่งเป็นศิษย์พี่ของหลินเซี่ย ในสำนัก นอกจากจื่ออิงเต้าเหรินที่จากไปแล้วกับหลินเซี่ยที่บาดเจ็บหนัก ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอีก พูดแบบนี้แสดงว่าคนที่เอ่ยถึงคือพวกเขา?
ที่แท้ซ่านเซียนลัทธิฉ่านสองคนซึ่งถูกทำร้ายบนเกาะเป่ยอี๋ที่มู่หรงหลิวเย่พูดถึงวันนั้น คือหลินเซี่ยกับจื่อหยางเจินเหริน หลินเซี่ยกลับถูกทำร้ายด้วยเงื้อมมือของจิ้งจอกชิงชิว?!
ตอนนั้นที่นางมองเขาไปมา หรือเป็นเพราะว่าเขากับหลินเซี่ยมีส่วนที่คล้ายกัน?
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่าจิ้งจอกชิงชิวไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ถูกกับศิษย์ลัทธิฉ่าน และรู้ดีว่าพลังสังหารของพวกเขาสูงส่งขนาดไหน แต่กลับไม่คิดว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นใกล้ตัวเขา… จนถึงทุกวันนี้ในสำนักยังปกปิดผู้กระทำผิดไว้อย่างแน่นหนา ดังนั้นเขาจึงเข้าใจไปว่ายังไม่สามารถสืบหาคนร้ายได้ ที่แท้ก็เป็นจิ้งจอกเก้าหางลงมือ…
เขาพลันนึกถึงมู่หรงหลิวเย่ที่วันนั้นเกือบสังหารเขาด้านนอกต้าหนิง คิ้วก็ขมวดแน่น มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้มู่จิ่วคงจะอยู่ที่ชิงชิว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?
“ไท่ซ่างเหล่าจวินกำลังปิดด่าน ยังคงไม่รู้เรื่องราว อาจารย์หลายท่านในวังโตวลวี่กำลังจับตาดูเรื่องนี้ และกดดันไปยังทัพสวรรค์ให้ทำคดี แต่ชิงชิวนั้นไม่เล็ก ข้ากังวลอยู่ตลอดว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้พวกเราจะไม่ได้รับความยุติธรรมใด ถึงแม้พวกเราจะเป็นฝ่ายเดียวกับเหล่าจวิน กลับเป็นเพียงแค่หนึ่งในสำนักลัทธิฉ่านหมื่นพันสำนักเท่านั้น”
ตอนนี้ในห้องมีเสียงของเจ้าสำนักหัวชิงลอยออกมา
ตอนที่ 76
ทักษะเอาตัวรอด
โดย
Ink Stone_Romance
หลินเจี้ยนหรูใจเต้นเล็กน้อย เคลื่อนตัวเข้าไปซ่อนในพุ่มดอกไม้ใต้หน้าต่าง กลั้นลมหายใจตั้งใจฟัง
แต่ไหนแต่ไรไม่มีใครกล้าแอบซ่อนอยู่รอบรัศมีสามลี้ของหัวชิงเต้าเหริน แต่ก็ต้องขอบคุณกฎนี้ ที่ทำให้คนในห้องผ่อนคลายการระมัดระวัง และไม่มีใครคิดจะใจจดใจจ่อกับการดูแลรอบด้าน
“ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ศิษย์พี่ทั้งสองของเราไม่อาจตายเปล่าภายใต้เงื้อมมือของพวกมัน…ท่านเจ้าสำนักอย่าโทษที่ข้าหยาบคาย ทุกวันนี้ศิษย์พี่อู่หยางยังไม่รู้ว่าจะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่ แบบนี้มิเท่ากับเป็นการตบหน้าลัทธิฉ่านหรือ? ถึงแม้ลัทธิฉ่านจะไม่ถึงกับตั้งตนเป็นศัตรูกับชิงชิวเพราะเห็นแก่พวกเราสำนักแรกพยับ แต่ชิวชิงไม่ได้แค่ทำร้ายสำนักของเราสำนักเดียว!”
คล้อยตามเสียงนี้ ห้องทั้งห้องก็เงียบลง
ผ่านไปครู่ใหญ่ หัวชิงเต้าเหรินจึงพูด “ข้าได้รักษาลมปราณให้ศิษย์น้องสี่แล้ว เพียงแค่ใช้ยาชำระไขกระดูกอีกสักหลายครั้ง น่าจะรักษาชีวิตไว้ได้” พูดจบก็เงียบไปสักครู่ “หากยังไม่ดีอีก ข้าก็จะใช้มหาโอสถทองรักษาจิตต้นกำเนิดของเขา”
“มหาโอสถทอง?”
ในห้องมีเสียงตกใจต่ำๆ ลอยออกมา
หลินเจี้ยนหรูที่อยู่นอกห้องก็อดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่เงียบๆ
มหาโอสถทองเป็นโอสถทองที่สืบทอดกันมาผ่านเจ้าสำนักในสำนักแรกพยับ มีเพียงเจ้าสำนักรุ่นแรกเท่านั้นที่หลอมขึ้นมาได้ กินยานี้เข้าไปไม่เพียงแต่รักษาจิตต้นกำเนิดไว้ได้พันปีไม่แตกสลาย ยังสามารถเพิ่มพลังฤทธิ์ให้ด้วย เพราะยานี้เป็นยาหลอมจากเคล็ดวิชาเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่มีธาตุหนุนธาตุพิฆาต สูงส่งดังเซียน ต่ำต้อยดุจศิษย์ก้นสำนักก็สามารถใช้ได้
ดังนั้นสำหรับศิษย์ก้นสำนัก สามารถได้มหาโอสถทองมาหนึ่งเม็ดถือเป็นเรื่องที่ถวิลหาอย่างที่สุด!
มือของเขาพลันมีน้ำมันไหลออกมาเล็กน้อย
“ใครอยู่ด้านนอก!”
ตอนนี้เอง ในห้องก็มีเสียงตะโกนดังออกมา จากนั้นก็มีเสียงสะบัดแขนเสื้อดังขึ้น!
ใจของเขานิ่งไป รีบกลั้นหายใจ อาศัยความมืดเคลื่อนตัวออกไปยังด้านนอกลานบ้าน!
“รีบตามไป!” หน้าต่างที่ปิดแน่นตอนนี้เปิดกว้างออก ซิงหังเต้าเหรินที่ไว้เครายาวตะโกนเสียงต่ำ
หลินเจี้ยนหรูวิ่งอย่างรวดเร็วออกจากยอดเขาขลุ่ยหยก ไม่กล้ากลับไปยังยอดเขาคุ้มมรกตที่หลินเซี่ยอยู่ ทำได้เพียงมุ่งไปยังยอดเขาอื่นอย่างสุดชีวิตเท่านั้น
ทหารที่ติดตามมาด้านหลังยังไล่ตามไม่เลิก ไม่นานเขาก็รู้สึกว่าลมหายใจติดขัด
หากเป็นสำนักอื่น บางทีอาจจะไม่กลัวขนาดเขา แต่เขาไม่เหมือนกัน ในสำนักแรกพยับแม้แต่ตำแหน่งคนกวาดพื้นเขายังสู้ไม่ได้ แม้ว่าเรื่องเล็กน้อยมาลงที่เขาก็จะเป็นเรื่องใหญ่จนแก้ไม่ไหว หลายปีมานี้เขาเสียเปรียบมามากพอแล้ว ความเกรงกลัวการถูกจับได้เกือบจะกลายเป็นสัญชาตญาณของเขา
เขาหันกลับไปมองด้านหลัง ยกมือขึ้นสะบัดภูเขาไม่ไกลด้านหน้าให้แตกครึ่งลงมา
ยอดเขาที่แตกลงมาสามารถกั้นเหล่าคนที่ตามมาด้านหลัง เขาอาศัยจังหวะนี้พุ่งหลบลงไปนับสิบจั้ง ก่อนหนีจากสายตาของพวกเขาย้อนกลับไปยังยอดเขาขลุ่ยหยก
เขาหยุดหายใจรัวเร็วที่กำแพงหิน อาศัยเสียงของลมภูเขารีบปรับลมหายใจ จากนั้นก็จัดเสื้อผ้า ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินเข้าประตูสำนักไป
หลายปีมานี้เขาไม่ได้เรียนความสามารถอื่นใดสำเร็จ คำเดียวว่าอดทนทำให้เขาฝึกฝนจนกล้าแกร่ง
ยังมีอีกคำคือเสแสร้ง เขารู้ตัวว่าพื้นฐานไม่อ่อนนัก
จีหมิ่นจวินส่งเขามาเอายา เขาไม่อาจไม่มาหา หากกลับไปยอดเขาคุ้มมรกต แบบนั้นแล้วแปดเก้าส่วนพวกนั้นต้องสงสัยเขาเป็นแน่ ถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่ด้วยความเคยชินจะต้องอาศัยโอกาสนี้ลงโทษเขา โดยเฉพาะจีหย่งฟาง ตั้งแต่เสียเปรียบไปภายใต้เงื้อมมือของมู่จิ่ว ภายหลังก็ยิ่งทุ่มเทหาเรื่องเขา หากให้นางฉวยโอกาสนี้ได้ ต้องไม่เป็นผลดีต่อเขาแน่
เซียนเด็กที่ประตูใหญ่กลับมาแล้ว ในลานบ้านกลับคืนสู่ความสงบ ผู้อาวุโสทั้งหลายแยกย้ายกันไปแล้ว เหลือเพียงหัวชิงซึ่งกำลังให้เหลียงชิวฉานคัดลอกคัมภีร์
ครั้นเห็นเขาเดินเข้ามา เหลียงชิวฉานมองเขาอย่างเย็นชา เพราะเรื่องยามเช้าบนสวรรค์ตอนนั้น เห็นได้ชัดว่าถึงวันนี้นางยังรังเกียจเขาอยู่
นี่ทำให้ใจเขาที่เพิ่งสงบลงเริ่มกระเพื่อมไหวโดยไม่รู้ตัว
แต่เขาพยายามไม่เล็ดลอดร่องรอยออกไป
“มีเรื่องอะไร?” แสงไฟตกกระทบใบหน้าของหัวชิง ดูเยาว์วัยยิ่งนัก เขามีปัญญาเฉียบแหลม สำเร็จเป็นเซียนเร็ว ดังนั้นรูปลักษณ์ภายนอกก็คงไว้ได้อย่างดี ดูแล้วอายุไม่เกินสามสิบต้นๆ
หลินเจี้ยนหรูรีบค้อมศีรษะพูดว่า “ข้ารับคำสั่งของอาจารย์แม่ให้มารับยาชำระไขกระดูก”
ตอนนี้หัวชิงถึงหยุดพู่กัน แล้วมองเขา “อาจารย์ของเจ้าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเจี้ยนหรูกำลังจะตอบ ใจพลันเต้นขึ้นน้อยๆ อดคิดถึงมหาโอสถทองที่เขาพูดไว้ก่อนหน้าไม่ได้ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก้มลงมองพื้นก่อนพูด “ตอบท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก อาจารย์…หากอาการของอาจารย์ดี คิดดูแล้วอาจารย์แม่คงไม่ส่งศิษย์มารับยาชำระไขกระดูก”
เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับมหาโอสถทอง แต่หากมีโอกาสลองดู เขาก็ยินดี
“นี่หมายความว่าอาการไม่ดี?” หัวชิงพลันวางพู่กันลง
หลินเจี้ยนหรูเงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีก “ศิษย์ไม่กล้าพูด”
หัวชิงถอนหายใจ เงียบไปสักครู่ หมุนตัวหยิบเอากล่องผ้าไหมขนาดสองชุ่นมาจากในห้อง พูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ”
หลินเจี้ยนหรูจำตราสีทองของกล่องนั้นได้ จึงไม่กล้าชักช้า รีบยืดตัวตามเขาออกประตูไป
ทางด้านจีหมิ่นจวินเพิ่งป้อนยาหลินเซี่ยไป กำลังรอหลินเจี้ยนหรูนำยากลับมาชำระล้างกระดูก
ได้ยินด้านนอกมีเสียงฝีเท้า จีหย่งฟางก็รีบเปิดประตู ชิงพูดก่อนว่า “เจ้าเดรัจฉาน ไม่ใช่ว่าเจ้าแอบอู้…อาจารย์ลุง?!”
หัวชิงขมวดคิ้วกวาดตามองนาง ไม่พูดอะไร ก้าวเข้าประตูไป
จีหมิ่นจวินรีบต้อนรับ
หลินเจี้ยนหรูคิดจะเข้าไป จีหย่งฟางถลึงตาใส่เขา “ออกไปเฝ้าเสีย!” พูดจบก็ผลักเขาออกไป ประตูปิดลงเกือบจะโดนหน้าเขา
เหล่าศิษย์พี่น้องที่ติดตามหัวชิงมาด้วยด้านนอกพากันมองล้อเลียนมาทางเขา ก่อนเหลียงชิวฉานผลักประตูเข้าไปก็เหลือบตามองเขาสองครา เขากำหมัดแน่น แต่ก็ยังคงรอเงียบๆ อยู่ด้านนอก
หากเขาเดาไม่ผิด ข้างในกล่องในมือของหัวชิงจะต้องเป็นมหาโอสถทอง และเขามาด้วยตนเอง ยิ่งเป็นการยืนยันความมีค่าของยานี้!
มหาโอสถทอง…
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกในความมืดของค่ำคืน จากนั้นผ่อนออกมาช้าๆ
หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วยาม หัวชิงออกมา สีหน้าของจีหมิ่นจวินที่ตามหลังมาเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วผ่อนคลายลงมาก รอจนส่งหัวชิงกลับไปแล้ว นางสั่งเหล่าศิษย์ทั้งสี่รวมหลินเจี้ยนหรูให้อยู่เฝ้าต่อ ไม่ได้ลงกลอนประตูไว้ กลับไปยังลานด้านหลังกับเหล่าพี่น้องจีหย่งฟาง
กลางดึกเงียบสงัด ความดำมืดของค่ำคืนทำให้คนค่อยๆ รู้สึกอ่อนเพลียลง
ศิษย์อีกสามคนที่ระเบียงทางเดินหาวกันหลายครั้ง หลินเจี้ยนหรูกลับสติแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก
ดูจากสีหน้าของพวกจีหมิ่นจวิน หลินเซี่ยต้องใช้มหาโอสถทองไปแล้วแน่ๆ และมหาโอสถทองหลังจากใช้ไปแล้วต้องใช้เวลาสามสิบหกชั่วยามในการไหลเวียนทั่วร่างกาย เข้าสู่เส้นโลหิตและชีพจร พูดอีกอย่างคือ เขาจำต้องนำมันออกมาจากตัวหลินเซี่ยในคืนนี้ถึงจะยังใช้ได้…
เขายังใช้ได้!
มือทั้งสองจับกระบี่ คลายแล้วแน่น แน่นแล้วคลาย จิตใจไม่เคยกระสับกระส่ายขนาดนี้มาก่อน
ตอนนี้เขากำลังรอเข้าสู่ขั้นตอนเจี๋ยตัน หากได้กินยามหาโอสถทองนี้เข้าไป เช่นนั้นไม่เพียงแต่จะสามารถหลอมรวมกลุ่มพลังในทันที แต่ยังช่วยยืนยันได้ว่าอย่างน้อยเขาก็จะมีอายุต่อไปพันปี! ถึงแม้รากฐานวิญญาณเขาจะไม่บริสุทธิ์ ขัดขวางเขาไม่ให้เลื่อนขั้น แต่อย่างน้อยรักษาจิตต้นกำเนิดไปได้พันปี ก็พูดได้ว่าเขาจะมีเวลาพันปีสำหรับการเลื่อนขั้นอย่างแน่นอน
ตอนที่ 77
ไม่อาจเลือกได้
โดย
Ink Stone_Romance
ถึงแม้เขาใช้เวลาเก้าร้อยเก้าสิบเก้าปีถึงจะเลื่อนขั้นได้ขั้นหนึ่ง แต่เพียงเลื่อนขั้น อายุก็จะยืนยาวขึ้น เขาจะโง่จนถึงขนาดเลื่อนอีกขั้นโดยใช้เวลาพันปีเชียวหรือ? ถึงแม้รากฐานวิญญาณจะไม่สะอาด…ถึงแม้รากฐานวิญญาณจะไม่สะอาด เขาก็มีอายุเพิ่มมาพันปีโดยไร้สาเหตุ ใครจะรู้ว่าในพันปีนี้เขาจะหาวิธีข้ามผ่านมันไปได้หรือไม่?
ด้ามกระบี่ในมือเกือบจะถูกบีบให้เป็นผุยผง แต่ไหนแต่ไรความปรารถนาของเขาไม่เคยแรงกล้าเหมือนขณะนี้มาก่อน
ใจของเขาเหมือนมีเถาวัลย์ที่แข็งแกร่งงอกเงยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พริบตาก็เข้าควบคุมแขนขาของเขา…
เขาควรจะทำแบบนี้หรือไม่?
สภาพของหลินเซี่ยในตอนนี้ สูญเสียมหาโอสถทองไปก็ไม่แน่ว่าตอนไหนจึงจะฟื้นคืนสภาพ
ที่สุดแล้วอย่างไรนั่นก็เป็นพ่อของเขา…
ใจของเขาสับสนพัวพันกันราวกับผูกเงื่อนตายไว้เป็นจำนวนมาก
เขาก้มดูเส้นเลือดเขียวที่ผุดขึ้นมาตรงข้อมือ พลันเงยหน้าขึ้น…เขากลับมาที่สำนักแรกพยับเพื่ออะไรกัน?
เพื่อออกจากสำนัก เพื่อช่วยแม่ของเขา หลินเซี่ยเคยให้อะไรกับเขาไว้บ้าง? ไม่มีเลยสักอย่าง…เพื่อไม่ให้เขาสำเร็จเป็นเซียน เพราะเกรงว่าเขาจะมีอนาคต แม้แต่รากฐานวิญญาณเขาก็ไม่ชำระล้างให้สะอาด หลินเซี่ยยิ่งไม่ได้มองเขาเป็นลูกชายด้วยซ้ำ เขาจะยังสนใจศีลธรรมความกตัญญูอะไรได้ ไม่ใช่ว่าน่าหัวร่อหรือ!
หลินเซี่ยไม่ต้องการเขา เขาก็ไม่ต้องการหลินเซี่ย
เขาหันไปดูคนทั้งสามซึ่งรวมกลุ่มกันพูดสัพเพเหระอยู่ไม่ไกล สูดลมหายใจเข้าลึก ทันใดนั้นก็ลูบท้องเดินเข้าไป “อาจเป็นเพราะกลางคืนข้ากินอาหารไม่ดี ท้องเลยเสีย ข้าจะไปห้องน้ำก่อน รบกวนศิษย์พี่ทั้งหลายเฝ้าไว้หน่อย”
ทั้งสามคนต่อว่า “พวกไร้ประโยชน์! แอบอู้เก่งนัก!”
“ถูก! ไม่อนุญาตให้ไป! หากท้องเสียก็ท้องเสียรดในกางเกงเสียเลย!” พวกเขาหัวเราะเสียงแหลม
เขาค้อมตัวลงอีกหน่อย กดเสียงต่ำ “ขอร้องศิษย์พี่ทั้งหลายช่วยอำนวยความสะดวกด้วย!”
“คุกเข่าโขกศีรษะร้องขอพวกเราสิ!” พวกนั้นล้อมเขาไว้
เขากัดฟันแน่นในความมืด ค้อมตัวลงไปโขกศีรษะสามครั้ง
ต่อให้ยิ่งอับอายกว่านี้ ก็เพียงจดจำเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่สักวันหนึ่ง เขาจะกลับมาเอาคืนทบต้นทบดอก!
“ไสหัวไป!”
ในที่สุดพวกนั้นก็ปล่อยไป จากนั้นหัวเราะกันเสียงดัง
หลินเจี้ยนหรูหันหลังกลับไป ในดวงทั้งคู่มีประกายไฟจุดติดขึ้นมา
เขาออกไปจากเรือนหลักตรงกลางอย่างรวดเร็ว ก่อนออกประตูใหญ่ไปเรือนด้านหลัง
หลินเจี้ยนหรูยืนอยู่ในเรือนข้าง ถือหินไฟไว้ในกำมือโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย หลังจากจุดให้สว่างก็โยนไปทางห้องเก็บคัมภีร์ซึ่งห่างจากเรือนหลักสองเรือนข้างกั้น
เพื่อกันไฟป่า สิ่งก่อสร้างบนเขาจึงใช้หินเป็นหลัก แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ม่านที่พลิ้วไหวของห้องก็ยังคงติดไฟก่อน ลมภูเขาเพียงพัดมา ฉับพลันก็ทำให้ท้องฟ้าสว่างไสว ลุกลามเข้าไปยังคานด้านใน ประกายไฟทำให้คนที่ยอดเขาคุ้มมรกตตื่นตกใจ รอบๆ เริ่มมีเสียงโวยวายลอยตามมา
หลินเจี้ยนหรูรีบกลับไปที่เรือนหลัก สามคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงลม ตอนนี้รีบไปที่ห้องเก็บคัมภีร์แล้ว! เขาผลักประตูเข้าไปข้างใน ผ่านฉากกั้นอย่างรวดเร็ว ไปถึงหลังม่านของข้างเตียงใหญ่สี่เสาที่ลงรักปิดทองไว้
หลินเซี่ยหลับตานอนอยู่บนเตียง ถึงแม้ลมหายใจจะเบาบางแต่ก็ราบเรียบสม่ำเสมอ
ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นยาเข้มข้น บนเตาเล็กตรงม่านปลายเตียงยังอุ่นยาไว้อยู่
หลินเจี้ยนหรูน้อยนักที่มีโอกาสพบหน้าหลินเซี่ย นี่คือตัวการที่ทำร้ายจนพวกเขาแม่ลูกพบเจอกับเคราะห์กรรม นั่งอยู่เหนือเขา บงการชีวิตเขาโดยอาศัยคำว่าอาจารย์ เขาเกิดความคิดที่จะสังหารอีกฝ่ายนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ เขากลับไม่มีความคิดแบบนั้น
ตอนเขายังเล็ก ความฝันอันสูงสุดของเขาคือเป็นเหมือนลูกของครอบครัวล่าสัตว์ที่ตีนเขา ตื่นมาก็เห็นแม่ทำอาหารเช้าดีๆ หลังมื้ออาหารก็สามารถเกาะอยู่บนไหล่กว้างของพ่อ ซอกแซกอยู่ในป่า ทว่าตั้งแต่ที่เขารู้ความ ความฝันก็เริ่มมลายหายไป หากพูดถึงฝันของผู้อื่น พยายามก็อาจทำให้สำเร็จได้ แต่ความฝันของเขาแม้แต่ริมขอบกลับยังสัมผัสไม่ถึง
เขานั่งลงที่ริมขอบเตียง หลินเซี่ยที่หลับลึกดูเปราะบางราวกับถ้าเป่าลมไปก็สามารถทำให้เขาแหลกสลายได้
“แค่ก…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขานั่งลงไม่ระมัดระวัง หรือใจสัมผัสรับรู้ได้ หลินเซี่ยพลันเปิดตาขึ้น เปล่งเสียงอันพร่าเลือนออกมา
หลินเจี้ยนหรูสายตาจับจ้อง กลับไม่ลุกขึ้น เพียงมองเขาพลางพูดอย่างราบเรียบ “ท่านพ่อกินมหาโอสถทองเข้าไป?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกหลินเซี่ยว่าพ่อ เขาพูดได้ไม่คล่องนัก หลินเซี่ยฟังก็รู้สึกแปลก เขายังไม่อาจพูดได้ เพียงแต่ประกายในแววตาแสดงออกว่าสงสัย หลินเจี้ยนหรูรู้ได้อย่างไรว่าเขากินมหาโอสถทองไป
“แสดงว่าข้าทายไม่ผิด” หลินเจี้ยนหรูพูดเบาๆ “ถ้าเช่นนั้น เห็นแก่ที่พ่อทำเรื่องเลวร้ายกับตัวข้าและแม่ข้ามากมาย ท่านคายยาออกมาให้ข้าได้หรือไม่?”
หลินเซี่ยพลันเบิกตากว้าง ใบหน้าบิดเบี้ยว
หลินเจี้ยนหรูกลับไม่แปลกใจ ยื่นมือไปพยุงเขาพลางพูด “ตอนนี้ทัพสวรรค์ให้ข้าเข้าร่วมทำคดีจิ้งจอกเก้าหาง หากพ่อเอายาให้ข้า ข้าจะมีโอกาสแก้แค้นแทนไม่ใช่หรือ? ยานี้สำหรับท่านแล้วก็แค่ประดับดอกไม้เพิ่มบนผ้างามเท่านั้น แต่สำหรับข้าเป็นการมอบถ่านไฟท่ามกลางความหนาว ท่านจะไม่ใจกว้างหน่อยหรือ?”
“แค่ก…แค่ก…”
เสียงยังคงพร่า แต่สีหน้าของหลินเซี่ยกลับแสดงออกว่าโกรธแค้น
สีหน้าของหลินเจี้ยนหรูเคร่งขึ้น “หากท่านไม่ยินยอม ข้าคงต้องบีบบังคับแล้ว”
พูดจบไม่รอให้เขาตอบกลับ กำลังภายในรวบรวมอยู่ที่ปลายนิ้วมือขวา พุ่งไปที่จุดตันเถียนของเขา
คนที่เขาแค้นคือทั้งสำนักแรกพยับ
และเป้าหมายของเขาคือเอายานี้มาเลื่อนขั้นเพื่อล้างความอับอาย
เขาไม่อาจลืมความยากลำบากที่ตนเองแบกรับ ทั้งยังชัดเจนมาตลอดว่าเป้าหมายของตนคืออะไร
แม่ของเขารอให้เขาฟื้นฟูจิตต้นกำเนิด ตัวเขาเองก็ยังคงต้องปีนป่ายอยู่บนเส้นทางที่ดูเหมือนจะใช้ชีวิตเพียงลำพังคนเดียว
เขาไม่ได้สังหารหลินเซี่ย เขาเพียงแค่อยากได้ของที่ตนต้องการ
ชีพจรทั้งร่างของหลินเซี่ยขาดสะบั้น จิตต้นกำเนิดไม่มีทางขยับ ไม่นานก็หาพลังแกร่งกล้าในจุดตันเถียนของเขาเจอ
ต้องขอบคุณมู่จิ่วที่ช่วยเขาเก็บดอกบัวกลีบม่วงมา พลังของเขาที่จริงเพิ่มขึ้นมากแล้ว ยิ่งบวกกับคัมภีร์ฝึกพลังที่นางให้เขา กำลังภายในจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะออกจากสวรรค์ เขารู้สึกได้แล้วว่าจุดตันเถียนของเขาเกิดพลังกลุ่มหนึ่งขึ้นมาช้าๆ เพียงแต่ยังไม่ทันหลอมรวมเป็นกลุ่มพลังขั้นสุดท้าย ก็เพราะแบบนี้ เขาถึงได้รีบร้อนอยากจะรู้ถึงสภาพรากฐานวิญญาณของตน
“เจ้า…”
อาจเป็นเพราะหลินเซี่ยรับรู้ได้ถึงความก้าวหน้าของเขา จึงนอนนิ่งเฉยไม่ได้ และเริ่มดิ้นรน
หลินเจี้ยนหรูยกมือซ้ายขึ้น จับข้อมือเขาไว้แน่น แล้วสกัดจุดหมิงเหมิน[1]ไว้…อยู่ข้างกายมาสี่ร้อยปี สำหรับเขาที่ถูกมือพ่อทำร้ายมา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจุดหมิงเหมินอยู่ที่ไหน?
หลินเซี่ยพลันอ่อนปวกเปียก ดวงตามองยอดมุ้ง อ้าปากสูดหายใจเข้าลึก
หมิงเหมินถูกสกัดไว้ จิตต้นกำเนิดของเขาไม่มีทางออกจากจุดพลัง มหาโอสถทองแม้จะแข็งแกร่ง แต่เพราะยังไม่โคจรผ่านภายในร่างกายจึงยังไม่ออกฤทธิ์
หลินเซี่ยมองเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ในสายตามีความโกรธแค้น ดูแคลน ดูถูก และรังเกียจ
แต่หลินเจี้ยนหรูกลับไม่สนใจ สิ่งเหล่านี้เขาคุ้นชินนัก แต่ไหนแต่ไรสายตาของอีกฝ่ายไม่เคยมีความรักความเอ็นดูเหมือนกับที่พ่อแม่คนอื่นมีต่อลูก หรือบางทีอาจไม่มีแค่กับเขาเท่านั้น แต่ถึงแม้ตอนนี้จะมี เขาก็ไม่คิดที่จะรามือ
เขาเป็นเพียงลูกนอกสมรสที่ต้อยต่ำ ไม่มีความสามารถเรื่องให้อภัยผู้อื่น
ตอนที่ 78
โง่เขลาเบาปัญญา
โดย
Ink Stone_Romance
หลินเซี่ยใช้พลังทั้งหมดหยุดยั้งเขาไม่ให้นำพามหาโอสถทองออกมา
เขาเป็นเซียนโดยแท้ ถึงแม้จะสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปทั้งหมด ก็ยังมีความสามารถในการปกป้องตนเองอยู่บ้าง
บางทีอาจเป็นเพราะความคิดที่จะรักษาชีวิตไว้แรงกล้าอย่างมาก หรือไม่ก็เพราะความโกรธที่โดนจู่โจมจากลูกนอกสมรส ซึ่งเขาถือมาตลอดว่ามีสายเลือดต่ำทรามคนนี้ ทำให้มหาโอสถทองที่เขาพยายามขืนเอาไว้ ย้อนกลับไปทางเดิมของมัน
จากทิศของห้องเก็บคัมภีร์มีเสียงอึกทึกดังมา ไม่รู้ว่าไฟดับหรือยังไม่ดับ แต่เวลาที่เหลือของหลินเจี้ยนหรูมีไม่มากนักแล้ว
เขาอดไม่ได้โน้มตัวเข้าไป “รีบคายมหาโอสถทองออกมา!”
อันที่จริงก็รู้สึกแล้ว สิ่งที่หมุนวนอยู่ตรงจุดตันเถียนของเขาคือมหาโอสถทอง! ตอนนี้ปราณในชีพจรของเขาแรงกล้า ระดับพลังฤทธิ์เปรียบได้กับเขาถึงสิบคน ดูออกได้ว่ามันไม่ได้มีดีแต่ชื่อ พลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ หากผ่านเข้าไปโคจรทั่วร่างกายและหลอมรวมกับเข้าชีพจร ขั้นตอนการเลื่อนขั้นของเขาก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว!
“คายออกมา!” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย
“ไม่…”
หลินเซี่ยยังคงต่อต้าน และยังใช้มือดึงไว้ไม่หยุด หลินเจี้ยนหรูก็ไม่อาจปล่อยมือ หากปล่อยมือจิตต้นกำเนิดของเขาก็จะหลุดออกจากร่าง ไม่เพียงแต่ไร้หนทางหลบหนีจากเงื้อมมือหลินเซี่ย ยังอาจเป็นการเรียกคนนอกเข้ามาด้วย ถึงตอนนั้นเขาคงตายแบบไม่มีที่ฝังกลบ
“เจ้าไม่รับปาก อย่าโทษข้าแล้วกัน”
ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องแน่นิ่งเข้าไปในสายตาของอีกฝ่าย พลันเพิ่มแรงกดลงไปจุดหมิงเหมินที่มือซ้าย ได้ยินหลินเซี่ยครวญครางออกมา ก่อนสลบไปบนเตียงทันใด
กระบวนท่านี้เรียนรู้มาจากคัมภีร์ที่มู่จิ่วให้เขามา ไม่คิดว่าจะมีประโยชน์เยี่ยงนี้
หลินเจี้ยนหรูรีบเก็บพลังกลับจากจุดตันเถียนของหลินเซี่ย ค่อยๆ เอาพลังอันแรงกล้าขุมนั้นออกมาจากคอของเขา
เสียงอึกทึกคึกโครมจากเรือนด้านหลังยิ่งดังขึ้น และมหาโอสถทองยังเคลื่อนออกมาอย่างช้าๆ
บนหน้าผากของเขาผุดเหงื่อเม็ดใหญ่ ตอนนี้หากมีคนเข้ามา ความเหนื่อยยากทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาไม่เพียงหายไป แต่ยังไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้อีกด้วย
“ทางอาจารย์อาสี่เกิดเรื่องอะไรหรือไม่?”
นอกประตูพลันมีเสียงของเหลียงชิวฉานดังเข้ามา
ใจเขาเต้นกระตุก เลือดลมกระเพื่อม รสฝาดเฝื่อนพลันผุดขึ้นมาในลำคอ
เมื่อเห็นมหาโอสถทองที่เคลื่อนมาถึงลำคอของหลินเซี่ย เขาก็อดไม่ได้อีกต่อไป ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้กดเข้าไปที่กระดูกไหปลาร้าของผู้เป็นพ่ออย่างแรง…คล้อยหลังเสียง ‘ป๊อก’ เบาๆ เม็ดกลมสีแดงขนาดเท่าเม็ดบัวก็พลันออกมาจากปาก!
หลินเจี้ยนหรูรีบชิงเอายามา จากนั้นลูบผ้าห่มของหลินเซี่ยให้เรียบ หมุนตัวกับพื้นไปซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าหลังเตียง!
ทุกอย่างกลับไปสงบเงียบ
ประตูห้องมีเสียงเปิดออก เท้าคู่หนึ่งที่ปกคลุมด้วยกระโปรงสีชมพูอมม่วงเดินเข้ามา
ใจของหลินเจี้ยนหรูขึ้นมาอยู่ที่คอ แม้แต่นิดก็ไม่กล้าหายใจ บนหน้าผากและแผ่นหลังเปียกชุ่ม ราวกับเหงื่อเย็นๆ ของทั้งชีวิตหลั่งออกมา
เหลียงชิวฉานถือกระบี่เดินนำศิษย์อีกหลายคนเข้ามา เห็นเพียงห้องเงียบสงบเหมือนปกติ หลินเซี่ยนอนสงบอยู่บนเตียงไม่ต่างจากที่เห็นก่อนหน้านี้ แต่ว่าผ้าห่มไหมที่ขอบเตียงกลับยับ ทำให้นางคิ้วขมวดขึ้น จีหมิ่นจวินเป็นคนเข้มงวดมาก ย่อมไม่ยินยอมให้ผู้ใดนั่งที่ริมเตียงของหลินเซี่ยแน่ ไม่รู้ว่าใครไม่รู้จักกฎระเบียบขนาดนี้?
นางมองไปรอบห้องอย่างละเอียด สายตาเพิ่งกวาดไปเจอมุมเสื้อที่ด้านล่างตู้เสื้อผ้า จีหย่งฟางกลับพรวดพราดเข้ามา “ศิษย์พี่ฉาน! ห้องเก็บคัมภีร์ของพวกเราคานใกล้ถล่มแล้ว ท่านแม่ให้มาเชิญท่านไปดูเหล่าศิษย์ย้ายหนังสือกับข้า!”
“รู้แล้ว”
เหลียงชิวฉานตอบรับ เดินออกไปจากประตู
ถึงประตูก็พลันหยุดลง หันกลับมามองดูตู้เสื้อผ้า สุดท้ายก็ขมวดคิ้ว ก่อนยกเท้าเดินออกไป
นั่นเป็นตู้เสื้อผ้าอยู่แล้ว มีมุมเสื้อเล็ดลอดออกมาย่อมไม่ผิดแปลก หรือนางจะคิดมากไป?
หลินเจี้ยนหรูได้ยินเสียงฝีเท้าหายไปจนหมด ก็ตั้งสมาธิฟังการเคลื่อนไหวในห้อง จากนั้นจึงค่อยเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกมา
ครั้นถึงหน้าต่าง เขาพลันหันกลับมา มองดูหลินเซี่ยบนเตียงคราหนึ่ง
ตอนนี้หลินเซี่ยยังคงสลบอยู่ ไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัว
เขาและลูกสาวของจีหมิ่นจวินเข้ามา หากไม่ดูเขาก็ไม่รู้แม้แต่น้อย
ชีพจรถูกตัดขาด สำหรับคนที่บาดเจ็บหนักอย่างเขาเป็นการจู่โจมที่ไม่นับว่าเบา แต่มีหัวชิงและเหล่าผู้อาวุโสอยู่ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่เขาฟื้นขึ้นมา และ…ต้องเปิดเผยเรื่องวันนี้ของเขาทั้งหมดแน่!
หลินเจี้ยนหรูกำมหาโอสถทองในมือแน่น เขาแบกรับผลหลังจากการตื่นของหลินเซี่ยได้หรือ?
ไม่ เขาแบกรับไม่ไหว เขาได้รับมหาโอสถทองนี้ก็แค่เลื่อนขั้นได้ไวขึ้น ถึงจะเลื่อนขั้นเร็ว ก็ไม่เร็วถึงขั้นสามารถต้านทานกับทั้งสำนักแรกพยับได้ก่อนที่หลินเซี่ยจะตื่น ถึงตอนนั้นเขาก็ยังคงต้องตายอยู่ดี!
คิดถึงตรงนี้เขาก็กัดฟัน หันกลับไปมองหลินเซี่ย พลันเดินกลับไปใช้ฝ่ามือกดลงไปที่จุดตันเถียน โคจรพลังกดทับลงไป จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงร้องอย่างอึดอัด กลุ่มควันเบาบางจากร่างกายของหลินเซี่ยลอยออกมาหลายสาย และคนที่อยู่บนเตียงก็สิ้นลมอย่างช้าๆ
พลังของเขากดลงไป ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับหนึ่งในร้อยของหลินเซี่ย แต่ในเวลาเฉพาะเช่นนี้กลับกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่กดทับให้เขาตายไป
หลินเจี้ยนหรูปิดเปลือกตาของเขาลง จากนั้นหยิบขนจิ้งจอกแดงออกมาจากกระเป๋าเล็ก วางที่ริมหมอน
แสงจันทร์สาดส่องบางเบาลงบนแผ่นดินผืนใหญ่
มู่จิ่วยังคงถูกลู่ยาแขวนกลับหัวอยู่กลางอากาศ
ที่จริงนางยอมแพ้ไม่ดิ้นรนแล้ว รู้ว่าบางทีอาจจะทำเขาโกรธเข้า แต่นางยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องโกรธขนาดนี้ แต่เดิมคำพูดนั้นของนางก็ครึ่งจริงครึ่งหลอก ปกติเขาดูไม่เหมือนคนที่คิดเล็กคิดน้อย ถลึงตาใส่นางไม่รับปากก็พอแล้วมิใช่หรือ?
เหตุใดต้องมาแขวนนางไว้!
ตอนนี้ก็แขวนไว้หนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว เขายังไม่มีท่าทีจะออกจากห้อง นี่คิดจะแขวนนางไว้จนฟ้าดินสลายเลยใช่หรือไม่?
“นี่ ทำไมเจ้าถึงโกรธเล่า” ในที่สุดนางถามด้วยทนไม่ไหว
“เจ้านี่มันโง่เขลาเบาปัญญา!” ลู่ยาดื่มชาไปพลาง มองนางไปพลาง
มู่จิ่วไร้หนทาง คิดแล้วจึงปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง “ข้าผิดไปแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ใจกว้าง ปล่อยข้าไปทีเถอะ”
ลู่ยาแค่นเสียงเย็นเยียบ ยังคงนั่งขัดสมาธิดื่มชาอย่างเอ้อระเหย
มู่จิ่วพูดอีก “ข้ารินชาทุบขาให้เจ้าดีหรือไม่?”
ลู่ยาเหลือบมองนาง ยังไม่ขยับอยู่ดี
มู่จิ่วถลึงตาใส่เขาที่อยู่ห่างออกไป เขากลับเดินเข้ามาหาช้าๆ พูดขึ้นว่า “เจ้าช่างหาญกล้านัก วันนี้กล้าขายข้าอย่างง่ายดาย คิดว่าส่งข้าไปเป็นนายสนมของจิ้งจอกน้อยนั่นแล้วสนุกนักหรือไร?”
“เปล่า…”
“เปล่า?” ลู่ยาร้องเฮอะเย็นชา “ข้าเห็นบนหน้าเจ้าขาดเพียงแต่ไม่ได้เขียนคำว่าให้จิ้งจอกน้อยพาข้าไปแปะไว้เท่านั้น รังเกียจที่ข้าอยู่ขัดหูขัดตาเจ้า? ขวางทางเจ้าอยู่ด้วยกันกับคนแซ่หลินนั่นหรือ? เมื่อวานเพิ่งกดดันข้าให้เลิกสัญญาหมั้นหลังจากสามเดือน ถัดมาวันเดียวก็รีบผลักข้าเข้าสู่อ้อมอกผู้อื่น? ข้าไปขวางอะไรเจ้ากันแน่ เจ้าถึงรังเกียจข้าขนาดนี้?”
มู่จิ่วไร้คำพูดอยู่บ้าง อะไรเรียกว่าเลิกสัญญาหมั้น ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรมาตั้งแต่ต้นถูกหรือไม่? อีกอย่างคือเขาทำไมถึงชอบโยงนางเข้ากับหลินเจี้ยนหรู? เห็นชัดๆ ว่านางกับเขามีความสัมพันธ์แบบสหายร่วมงาน แล้วนางไปมองว่าเขาขัดหูขัดตาตอนไหน?
แต่คิดๆ แล้วก็ช่างเถอะ ตอนนี้เถียงไปก็ไม่มีผลดีอะไร
ตอนที่ 79
สามคนร่วมทาง
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาบ่นนางไปหนึ่งรอบ เห็นนางไม่เอ่ยอันใด ก็ส่งเสียงเฮอะออกมาสองครั้ง เตรียมกลับเข้าเขตพลังไป
ไหนเลยจะรู้ว่าประตูหินด้านนอกจะมีเสียง ‘ครืด’ ดังเข้ามา จากนั้นประตูหินที่ปิดแน่นพลันเคลื่อนไหว ขยับไปด้านข้าง เผยให้เห็นแสงสว่างกว้างหนึ่งฝ่ามือสาดส่องเข้ามาเส้นหนึ่ง!
“พวกเจ้าทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? หรือถูกเจ้านกแร้งกลืนลงไปในท้องเป็นคู่นกยวนยางไปแล้ว?”
ปากนกที่มีขนาดใหญ่เท่าจอกเหล้าโวยวายอยู่หน้าปากถ้ำ เสียงเจือไปด้วยความลำพองที่มากล้นจนรู้สึกได้
ลู่ยาอึ้งอยู่ตรงนั้น
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมอง อดตกใจไม่ได้ “ซ่างกวนสุ่น!”
ลู่ยาหรี่ตามองไปที่ปากถ้ำ เห็นเพียงนกตัวนี้ที่ไม่เพียงแต่ปากใหญ่ ร่างกายก็ไม่เล็ก ที่สำคัญหัวนั่นเชิดสูงกว่าคาง ดวงตาสีน้ำตาลกลมกว่าจอกในมือของเขาเสียอีก นี่ไม่ใช่ซ่างกวนสุ่นแล้วจะเป็นใครได้?
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
ทางเขายังไม่ทันเปล่งเสียง มู่จิ่วก็ตื่นเต้นจนกระโดดไปมา
ซ่างกวนสุ่นกดปากลง เบิกตานกกลมโต ภายในเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เกรงใจหน่อย เรียกข้าว่าองค์ชายเจ้าจะตายหรือ!”
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดัง “เจ้านี่คงไม่ใช่ว่าตกลงกับจิ้งจอกชั่วแล้วมาทำร้ายพวกเราหรอกนะ?”
“เหลวไหล!”
ซ่างกวนสุ่นพูดกับนาง “ตั้งแต่ที่ข้าจากลานบ้านของพวกเจ้ามาเมื่อวันก่อนก็ไม่ได้ออกไปจากสวรรค์ หลายวันมานี้อยู่ข้างนอกทั้งหิวทั้งหนาว เห็นพวกเจ้าเดินทางมาชิงชิวจึงแอบตามมาด้วย ข้าเห็นแก่ที่เจ้าบอกว่าจะช่วยสืบคดีที่เขาเนินอารามจึงได้ตามมา เจ้ายังสงสัยว่าข้าร่วมมือกับพวกเขาอีก? จิตใจดีงามของเจ้าถูกหมาเอาไปกินแล้วรึ!”
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดังไม่หยุด ไม่สนใจการพูดส่งเดชของเขาเลยสักนิด
…ดียิ่งนัก! ซ่างกวนสุ่นมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องรอความตายอยู่ที่นี่!
จิ้งจอกจอมยั่วยวนนั่นอย่าได้คิดจะใช้อุบายกับลู่ยาล่ะ!
“นี่เป็นการทำโทษเรื่องอะไร?” ซ่างกวนสุ่นผลักประตูหินอีกหน่อย เคลื่อนกายเข้ามา จ้องมองนางขึ้นๆ ลงๆ “ดูแล้วเหมือนไก่ย่างในร้านพะโล้ ล้างน้ำเกลือเสียหน่อยก็สับขึ้นโต๊ะได้ทันที”
“เจ้าสิไก่ย่าง!” มู่จิ่วจ้องเขา “เจ้าเป็นผีหิวโหยหรือไง? รู้จักแต่เรื่องกิน!”
เพิ่งพูดจบนางก็ร่วงหล่นลงบนเมฆ ลู่ยาไม่แม้แต่จะเอ่ยเตือนก็เก็บพลังไปเสียแล้ว
นางลูบต้นขาที่ปวดเมื่อยพลางยืนขึ้นมา มองพวกเขาทั้งสองอย่างเคืองๆ คราหนึ่ง ก่อนเดินตึงๆ ออกจากประตูไป
ลู่ยายื่นมือออกไปจับคอเสื้อของนางแล้วดึงกลับมา “เจ้าคิดจะออกไปก็โดนพวกจิ้งจอกจับเลยหรือไง?” พูดจบก็ไม่รอนางตอบ โอบนางเข้ามาในอ้อมแขนอย่างไม่สบอารมณ์ ยื่นมือไปปิดประตูหินที่เปิดอยู่ จากนั้นขี่เมฆขึ้นไปบนผนังหินด้านบน!
ซ่างกวนสุ่นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง รีบพุ่งตัวตามพวกเขาไป ตำแหน่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อีกเดี๋ยวจะชนผนังด้านบนแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพดานของถ้ำหินนี้จะกลายเป็นอากาศ ไม่มีสิ่งกีดขวาง แค่ผ่านออกไปตรงๆ…
“นี่ออกมาแล้วหรือ?”
มู่จิ่วยืนอยู่บนเมฆ มองดูพระจันทร์เหนือศีรษะ ยังมีผนังหินที่ไร้รอยขีดข่วนใต้เท้า ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ!
แต่ก่อนเคยเห็นแต่หลิวหยางหายตัวทะลุผ่านสิ่งของ นึกไม่ถึงว่าลู่ยาก็ทำได้ เขามีความสามารถแบบนี้นางจะกังวลอะไรอีก!
ซ่างกวนสุ่นพูด “หากรู้แต่แรกว่าพวกเจ้าออกมาได้ ข้าจะเหนื่อยเปลืองแรงไปทำไม? ทำเอาข้าต้องเปลืองความคิดหลอกคนเฝ้าประตูออกไปเสียนี่!”
ลู่ยามองเขา “ข้าไม่ได้ให้เจ้ามา”
ซ่างกวนสุ่นเกือบถูกเขาทำให้สำลักตาย เขาโกรธจนโบกสะบัดปีกเข้าไปครึ่งทาง ตอกกลับไปว่า “ข้าเห็นแก่ที่เจ้าทำคดี จะไม่คิดเล็กคิดน้อยด้วย!”
ลู่ยาแค่นเสียงในจมูก กล้าเสียงดังใส่เขา เขายังไม่ทันคิดบัญชีกับด้วยเลย!
มู่จิ่วเห็นสถานการณ์แล้วก็รีบสร้างความกลมเกลียว “อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย เรื่องการเรื่องงานเร่งรีบกว่า!” พูดจบก็กระโดดลงไปยังหลังคา
ด้านนอกห้องขังหินมืดมิด จากทางที่มาเมื่อครู่ดูแล้วน่าจะเป็นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวังจิ้งจอก ตอนนี้ดาวกระบวยขึ้นมาบนฟ้าแล้ว รอบด้านมีเพียงคบไฟหินสองจุดที่อยู่ห่างออกไป แต่กลับไม่มีใครเฝ้าไว้ มีเพียงพลลาดตระเวนถือหอกเดินอยู่ไกลหลายจั้ง
“คนทั้งหมดถูกเจ้าหลอกล่อให้ไปแล้วหรือ?” นางถามซ่างกวนสุ่น
ซ่างกวนสุ่นอารมณ์ไม่ดี “มีแค่สองคนยังใช้คำว่า ‘ทั้งหมด’ อีก! คนไม่มีการศึกษาช่างน่ากลัวนัก!”
มู่จิ่วสำลักจนพูดไม่ออก และก็คร้านจะสนใจเขา เพียงพูดว่า “ทำไมถึงมีเพียงแค่สองคน?”
จิ้งจอกเงินนั่นดูแล้วไม่เหมือนกับคนที่ไม่ระมัดระวังขนาดนี้ ลู่ยารอดพ้นเงื้อมมือของเขามาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนแล้ว เขาไม่คิดบ้างหรือว่าอีกฝ่ายอาจจะหนีออกมาได้?
“พูดแล้วว่ามีเพียงสองคนก็มีเพียงสองคน ข้าหลอกเจ้าก็ไม่มีเนื้อกินหรอก!” ซ่างกวนสุ่นเชิดจมูกขึ้นฟ้า
ลู่ยารวมสมาธิมองไปรอบด้าน “ไม่มีคนอยู่แน่นอน”
นี่แปลกประหลาดนัก
“ถึงแม้ไม่มีคน ที่นี่ก็ไม่สมควรจะอยู่นาน พวกเราต้องรีบหาศพจิ้งจอกน้อยให้พบก่อนที่จิ้งจอกเงินจะรู้เรื่อง” ลู่ยาจริงจังขึ้นมา “ตามที่ข้ารู้ ชิงชิวมีแท่นหอมหมื่นลี้ที่เย็นอย่างมาก หากข้าเดาไม่ผิด ศพควรจะตั้งอยู่ที่นั่น พวกเราไปดูทางเหนือก่อน”
ลู่ยาเพ่งมองไปรอบด้าน จากนั้นชี้ไปยังทางเหนือที่มืดสนิทพลางพูด
ตอนนี้ต้องแอบเคลื่อนไหว ไม่สามารถวางก้ามใหญ่เดินอวดเบ่งไปทั่วเหมือนก่อนหน้านี้ ลู่ยาสามารถหายตัวได้ และมู่จิ่วก็มีชุดซ่อนเซียน ซ่อนจากหูตาคนไม่ใช่ปัญหา เห็นซ่างกวนสุ่นที่พร้อมจะเปลี่ยนตนเองเป็นหินทุกเมื่อ มู่จิ่วก็พูด “เจ้าตัวดำสูงใหญ่ ที่แท้เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
“เจ้ามองข้าเป็นเจ้าตัวดำสูงใหญ่ได้ยังไง? ข้ารูปร่างหน้าตาหล่อเหลา หล่อจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร!” ซ่างกวนสุ่นถลึงตาใส่นาง “เขาเนินอารามกับชิงชิวมีสัมพันธ์อันดี และข้าก็บำเพ็ญมาหมื่นปี ซ่อนร่างเปลี่ยนร่างนับเป็นอะไรได้? เฮอะ” คนไม่รู้ความ!
พูดจบก็กระพือปีก เปลี่ยนร่างเป็นผีเสื้อ บินตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจพวกเขา
ลู่ยายื่นมือไปจับปีกผีเสื้อ ดึงให้เขากลับมา “ทางนี้!”
ซ่างกวนสุ่นเกือบถูกดึงจนเจ็บกล้ามเนื้อ กล้าโกรธไม่กล้าพูด ทำได้เพียงจ้องเขาไปพลาง ตามหลังไปพลางเท่านั้น
เดินไปทางทิศเหนือได้ไม่ไกลก็ถึงริมสวนดอกไม้ ความมืดมิดที่เห็นเมื่อครู่นี้ที่แท้เป็นภูเขาเตี้ย และไม่ใช่ภูเขาลูกเดียวกับที่พวกเขาเห็นตอนมา นอกจากนั้นก็เป็นหินสูงๆ ต่ำๆ มากมาย ยอดเขาหินเป็นกองหินที่มีระเบียบอย่างมาก แต่ละก้อนเรียงขึ้นไปกลายเป็นวิหารหินหลายชั้นที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เทียบกับวังจิ้งจอกหรูหราฟุ่มเฟือยที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่แล้วดูอลังการน่าเกรงขามจนเปรียบเทียบกันไม่ได้
รอบวิหารหินนี้ไม่มีหญ้าขึ้นเลย ทั้งยังรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่เสียดกระดูก นอกจากบนผนังจะสลักตัวอักษรกับภาพที่ดูไม่เข้าใจแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีก
“นี่คือแท่นหอมหมื่นลี้?” มู่จิ่วเดินมองสำรวจหินสลัก ไม่ได้สวยงามวิจิตร กลับดูใหญ่หนาและเก่าแก่ด้วยซ้ำ
ก่อนที่นางจะมาถึงชิงชิว เรื่องเล่าที่ได้ยินมาทั้งหมดเกี่ยวกับของพวกเขาต่างใช้ศัพท์พรรณนาที่สวยหรูมากทั้งนั้น อุดมสมบูรณ์มั่งมี ทั้งสี่ฤดูมีชีวิตชีวา ต่างพูดกันว่าเป็นที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามของเก้าทวีป
หลังจากนางมาพบเห็นภาพนั้นด้วยตนเอง ก็รู้สึกว่าเหมือนตามที่พูด แค่ดูภายในวังสระน้ำฮั่น เพียงมองเห็นก็รู้สึกเหมือนกับราชาจิ้งจอกซื้อหุ้นส่งเดชแล้วได้เงินมาก้อนหนึ่ง นางไม่ประหลาดใจ อย่างไรคนเขาก็มีเงิน มีเงินแล้วไม่อวดหรือจะเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์หรือ?
ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าข้างในชิงชิวจะมีที่เก่ากันดารเช่นนี้
และที่อันตรายแห่งนี้ยังอยู่ห่างจากวังของพวกเขาไปไม่ถึงร้อยลี้ด้วย
ตอนที่ 80
เขากำลังโกรธ
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาดูผนังหินอย่างละเอียด พูดขึ้นว่า “นี่คือวิหารหินที่ปฐมบรรพบุรุษจิ้งจอกเก้าหางในสมัยบรรพกาลเคยอยู่มาก่อน มาวันนี้ได้กลายเป็นแท่นบูชาของพวกเขา แท่นหอมหมื่นลี้จะอยู่ตรงกลางกลุ่มวิหารหินนี้ แต่ไม่ได้บอกตำแหน่งชัดเจน”
มู่จิ่วแปลกใจ “ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องเหล่านี้?”
“เพราะข้าฉลาด” ลู่ยาเหลือบมองนางพลางเดินไปข้างหน้า
มู่จิ่วถูกย้อนจนสำลัก ก่อนเดินตามไป “เจ้าคงไม่ได้ยังโกรธข้าอยู่หรอกนะ?”
“ไม่”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่รอข้า?”
“เจ้าไม่ใช่คนของข้า และยิ่งไม่ใช่ว่าไร้ขา ทำไมข้าต้องรอเจ้า?”
ลู่ยาเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย
มู่จิ่วหยุดลง
พูดไปก็ถูก พวกเขาเป็นแค่คนร่วมทำคดี เขาไม่มีหน้าที่ต้องรอนาง แต่ทำไมนางถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้อง? ปกติเขาดูไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรแบบนี้
ลู่ยาเดินไปหลายก้าว ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า จึงหันกลับมาเห็นนางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สุดท้ายก็พูดว่า “ยังไม่มาอีก?”
“มาแล้ว!” มู่จิ่วรีบเด้งตัวขึ้นมา กระโดดโลดเต้นตามไป
ซ่างกวนสุ่นอยู่ด้านหลัง มองดูคนทั้งสองอย่างเงียบๆ มาตลอด ดีร้ายอย่างไรเขาก็มาเพื่อช่วย พวกนั้นอย่าทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุได้หรือไม่?
มู่จิ่วย่อมไม่รู้ว่าซ่างกวนสุ่นที่อยู่ด้านหลังเกือบจะถลึงตาใส่หลังพวกนางจนทะลุแล้ว นางตั้งใจมองตามทางเล็กๆ ตรงกลางวิหารที่ทอดยาวไปด้านใน ผนังทั้งสองข้างยังคงสลักภาพและตัวอักษรมากมาย แต่กลับไม่ได้บอกตำแหน่งที่ชัดเจนของแท่นหอมหมื่นลี้ เดินต่อไปแบบนี้ คำนวณคร่าวๆ แล้ววิหารใหญ่เล็กมีนับร้อยหลัง แต่ละหลังมีประตูหินปิดไว้ จะดูออกได้อย่างไร?
“ตามหาแบบนี้ไม่ใช่หนทางที่ดี” ลู่ยาหยุดลงที่ด้านหน้าเสาหินกลมขนาดใหญ่สิบกว่าเสา จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนยอดวิหาร มองดูรอบกลุ่มวิหารหินจากข้างบน ก่อนหันกลับมาพูดกับมู่จิ่วที่ตามขึ้นมา “ลูกโลหิตมังกรของเจ้าล่ะ?”
มู่จิ่วอึ้งไปเล็กน้อย รีบเอาลูกโลหิตมังกรจากกระเป๋าเล็กออกมา
จากที่เขาเคยพูดไว้ว่าลูกกลมๆ นี้ไม่ธรรมดา ภายหลังนางจึงเก็บมันติดตัวไว้ตลอด
ลู่ยาวางลูกโลหิตมังกรไว้กลางฝ่ามือ เรียกพลังฤทธิ์ขึ้นมา เห็นเพียงลูกสีแดงเพลิงขนาดเท่าเม็ดบัวค่อยๆ เปล่งแสงสีแดง เป็นสีเบาบางอ่อนๆ ก่อนในตอนแรก จากนั้นสีแดงก็เข้มขึ้น ไม่นานแสงก็สาดส่องไปถึงครึ่งลี้! ขนาดของมันค่อยๆ ใหญ่ขึ้นจนเท่าแตงโม ลูกสีแดงจัดลอยอยู่กลางอากาศ แสงสีแดงนั่นยังปล่อยเสียงแหบแห้งออกมาด้วย
พลังอันแกร่งกล้าทำให้มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป ซ่างกวนสุ่นที่วุ่นวายตอนนี้ก็เงียบลง
แสงสีแดงสาดส่องอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้เอง ยอดวิหารฝั่งตรงข้ามห่างไปสามถึงห้าลี้ซึ่งมีหัวสัตว์ประหลาด พลันสาดแสงสีน้ำเงินราวกับสายฟ้ามุ่งเข้าโจมตีแสงสีแดง ทันใดนั้นแสงทั้งสองสายก็พัวพันเข้าด้วยกัน เสียงพลังฤทธิ์โรมรันกันกลางอากาศดังมาไม่ขาดสาย แม้แต่เสียงลมก็หยุดลง
ตอนที่มู่จิ่วเข้าใจว่าแสงทั้งสองกำลังตัดสินแพ้ชนะกันอยู่นั้น ลู่ยากลับเก็บพลังฤทธิ์กลับมา ลูกโลหิตมังกรก็กลับมามีขนาดเท่าเม็ดบัว แสงสีแดงพลันจางหาย และแสงสีน้ำเงินนั่นก็เหมือนกัน ตอนที่แสงสีแดงทางนี้หยุดลง มันก็หยุดในทันที เนินเขาที่เมื่อครู่ยังสาดแสงอยู่ตอนนี้สงบลงแล้ว
“หากต้องการรักษาร่างของจิ้งจอกน้อยไว้ ต้องวางไว้จุดที่หนาวเย็นที่สุด มืดมิดที่สุด ที่ตรงนั้นจะต้องมีน้ำ เมื่อครู่เป็นพลังน้ำ ลูกโลหิตมังกรแก่นเป็นไฟ น้ำกับไฟเป็นธาตุคู่พิฆาต เมื่อใช้พลังไฟ พลังน้ำจึงออกมา ดังนั้นจุดที่พลังน้ำแสดงตัวจะต้องเป็นที่วางร่างของจิ้งจอกน้อยแน่”
ลู่ยาพูดพลางคืนลูกโลหิตมังกรแก่มู่จิ่ว
มู่จิ่วเข้าใจว่าลูกโลหิตมังกรนี้มีประโยชน์แค่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย คิดไม่ถึงว่าจะยังกระตุ้นพลังน้ำได้ด้วย นางจึงยิ่งมองมันเป็นของมีค่า
ซ่างกวนสุ่นกลับตื่นตระหนกมองไปรอบด้าน “เจ้าก่อการเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ที่นี่ ไม่กลัวถูกคนพบเข้าหรือ?”
เหล่าจิ้งจอกเก้าหางมีชื่อเรื่องคล่องแคล่วว่องไว
ลู่ยากวาดตามองเขาคราหนึ่ง จากนั้นมุ่งหน้าไปยังจุดที่พลังน้ำแสดงตัวออกมา “หากโดนจับได้ ข้าก็แค่บอกว่าเจ้าทำก็พอแล้วมิใช่หรือ?”
เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจเจ้าเด็กเหลือขอนี่ วันนั้นหากไม่ใช่เพราะซ่างกวนสุ่นไปก่อเรื่องที่หอวิหคแดง เรื่องราวจะมาถึงขั้นนี้หรือ? ทำเอาทุกวันนี้เขาไม่เพียงแต่เสี่ยงจะเปิดเผยร่องรอยบนสวรรค์ แต่ยังต้องวิ่งมาโดนจิ้งจอกพวกนั้นบีบบังคับที่ชิงชิว ถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา แต่บัญชีแค้นนี้ยังไงก็ต้องติดไว้
มู่จิ่วไม่อยากให้เกิดปัญหาใหม่ จึงหันกลับไปทักซ่างกวนสุ่น “ยังไม่รีบมาอีก?”
ลู่ยาราวกับมีตางอกอยู่ข้างหลัง ลากนางขึ้นมา “ไปเดินข้างหน้า”
ซ่างกวนสุ่นถูกพวกเขาหยาบคายใส่ ก็โกรธจนอยากจะไปยังเบื้องหน้าราชาจิ้งจอกแล้วแจ้งเรื่องคนทั้งคู่เสีย! แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากบอกแล้วจะอธิบายเรื่องที่เขามาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร จึงจำต้องล้มเลิกความคิด เขาถลึงตาใส่แผ่นหลังของคนทั้งสอง ยกกรงเล็บขึ้นเตะหิน อดกลั้นอารมณ์ไว้ แล้วเดินตามไป
แต่มู่จิ่วก็อยากรู้ว่าทำไมลู่ยาจึงไม่กังวลว่าคนจะพบเจอ “ถึงแม้ซ่างกวนจะปากร้ายไปเสียหน่อย แต่พูดก็มีเหตุผล”
ลู่ยาเอามือไพล่หลังเดินไปตามทางอย่างช้าๆ “วางใจเถิด ที่นี่นอกจากสัตว์เทพแล้วก็ไม่มีคน และสัตว์เทพที่เฝ้าวังจะตื่นก็ต่อเมื่อมีผู้บุกรุกวัง การเคลื่อนไหวเมื่อครู่เหมือนกับอสุนีบาตฟาดเท่านั้น ไม่อาจทำให้คนตกใจได้”
มู่จิ่วพลันเข้าใจ
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังพูดคุยก็มาถึงวิหารหินที่มีพลังน้ำปรากฏ แต่รอบด้านไหนเลยจะมีร่องรอยของน้ำ? ประตูวิหารมีเพียงผนังหินสูงราวสามถึงห้าจั้ง กว้างราวหกเจ็ดจั้ง ผนังหินหยาบซึ่งเมื่อมองโดยรวมกลับดูราบเรียบมากฝังตัวอยู่กับเนินสูงที่ไม่เห็นยอด ไม่ต้องพูดถึงน้ำ แม้แต่ไอน้ำยังไม่มีด้วยซ้ำ
ลู่ยากัดนิ้วเบาๆ หยดเลือดลงไปบนผนังหิน จากนั้นก็ร่ายวิชาเซียน ผนังหินนั่นร่วงลงมาเสียงดัง ทว่าแม้แต่เศษหินก็ยังไม่มี เผยออกมาเพียงประตูหยกที่ปิดแน่นสูงสองจั้ง กว้างราวหนึ่งจั้ง…ย่ามันเถอะ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นภาพมายา เกือบทำให้คนเชื่อแล้ว!
มู่จิ่วสบถในใจ ก้าวเท้าเดินเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างละเอียด
ประตูหยกไม่สว่างสดใสอีกต่อไป สีอึมครึม และฝุ่นบนพื้นก็ดูออกว่าไม่ได้ขยับมาหลายปีแล้ว
สองประตูบานใหญ่แบ่งออกเป็นสามสิบหกช่อง แต่ละช่องมีรูปหล่อสัตว์ปีศาจตัวหนึ่ง บางส่วนดูออกว่าเป็นเสือเป็นงู แต่ส่วนใหญ่ถูกปกปิดหน้าตาดั้งเดิมไว้ บางตัวแม้แต่มู่จิ่วก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
ห่วงคล้องประตูขนาดหนาเท่าแขนเด็ก
มู่จิ่วชี้มัน “ประตูนี้ฝุ่นเยอะขนาดนี้ ดูแล้วน่าจะขยับมาหลายปี จิ้งจอกน้อยจะซ่อนอยู่ที่นี่หรือ?”
“มีคนพูดว่ากระต่ายมีหลายรัง จิ้งจอกเทียบกับกระต่ายแล้วไม่รู้ว่าเจ้าเล่ห์กว่ากี่เท่า จะมีทางเข้าออกทางเดียวได้อย่างไร?” ลู่ยาพูดพลางหยิบแผ่นยันต์จากแขนเสื้อออกมาติดบนประตู จากนั้นประตูนั้นก็เปิดออกเอง
การเปิดครั้งนี้ทำให้มู่จิ่วเห็นว่าประตูหนาหนึ่งฉื่อ และไม่มีสัตว์ปีศาจอะไรออกมา!
ลู่ยาเก็บแผ่นยันต์ลงไป “ยิ่งทางเข้าดูปกติ ยิ่งแสดงว่าด้านในนั้นอันตราย ต้องระวังให้มาก”
พูดจบเขาก็เดินนำเข้าไปก่อน
ตอนที่ 81
เหมือนเป็นกับดัก
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วเดินตามเข้าไป ถึงค่อยปรับสายตาจากแสงด้านในวิหาร เห็นหินสลักน่าเกรงขามทั้งสี่ด้านอย่างชัดเจน ช่วงปลายสุดของวิหารหินปรากฏให้เห็นทางเดินยาวๆ สองฝั่งของทางเดินต่างก็เป็นเสาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่าสองฉื่อ ไม่รู้ว่าเดินผ่านเสาแบบนี้มาแล้วเท่าไหร่ เดินเลี้ยวมาแล้วกี่ทางแยก เมื่อถึงสุดทางเดินพลันปรากฎผนังหินหยก
ที่แท้ก็เป็นทางตัน!
และพวกเขายังไม่ทันรวบรวมสติกลับมา ด้านหลังพลันมีเสียงดังเปรี้ยงปร้าง มู่จิ่วหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงเสาสองฝั่งที่เดินผ่านมาเมื่อครู่โยกขยับอยู่เบื้องหน้าเหมือนกับโคมม้าวิ่ง[1]! และยิ่งบีบใกล้เข้ามา เพียงเวลาพริบตาเดียว พลังลมปราณอันกล้าแกร่งขุมหนึ่งก็พุ่งโจมตีเข้ามาราวกับสายน้ำที่พลิกภูเขาคว่ำทะเล!
“จับข้าไว้ให้แน่น!” ลู่ยารีบดึงข้อมือมู่จิ่ว!
ชั่วเวลาสั้นๆ ร่างทั้งร่างของมู่จิ่วพลันไหลตามพลังลมปราณขุมนั้นไปยังตำแหน่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ และยังมีน้ำโอบล้อมรอบตัวนาง…ที่แท้นางไม่ได้เข้าใจผิดไป พลังลมปราณเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำจริง ซ้ำยังกำลังกลืนกินพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม!
ซ่างกวนสุ่นด่าทออยู่ในกระแสน้ำ “ย่ามันเถอะ เจ้าพวกจิ้งจอกร้ายกาจ! รอให้ข้าออกไปได้ก่อนจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
ลู่ยามือหนึ่งจับมู่จิ่วไว้ อีกมือหนึ่งร่ายคาถาป้องกันน้ำโอบล้อมร่าง จากนั้นก็ลากซ่างกวนสุ่นเข้ามาด้วย
มู่จิ่วนั่งอยู่ในเขตพลัง มองดูกระแสน้ำขุ่นไหลทั้งสี่ด้านแปดทิศ ยังหลงเหลือเศษเสี้ยวความกลัวอยู่ “ข้ายังนึกว่าอย่างมากก็มีสัตว์ปีศาจสักหลายตัวออกมา ไหนเลยจะรู้ว่าจิ้งจอกจะเลวร้ายขนาดนี้! น้ำนี่มาจากไหน? เป็นไปได้หรือไม่ว่าคือพลังน้ำที่ถูกกระตุ้นด้วยพลังไฟเมื่อครู่?”
“นี่คือน้ำจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ถูกผนึกอยู่ใต้พื้น” ตอนนี้ลู่ยาก็ขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน “น้ำท่วมครั้งใหญ่สมัยบรรพกาลได้ท่วมมาถึงชิงชิวและวิหารหินนี้ เพราะว่ารอบด้านของชิงชิวสูง ทำให้น้ำไหลออกไปไม่ได้ ก้งกง[2]จึงผนึกน้ำนี้ไว้ใต้ดิน และมอบคาถาให้แก่จิ้งจอกเก้าหาง เพื่อภายหลังชิงชิวจะได้ใช้ต่อกรกับภัยธรรมชาติ”
“มาวันนี้ดูเหมือนน้ำจะถูกผนึกไว้ที่ใต้วิหารเทพนี้ พลังน้ำสีน้ำเงินโปร่งใสเมื่อครู่ไม่ใช่น้ำนี้อย่างแน่นอน พวกเราเพียงแค่ทำให้สัตว์ปีศาจที่รับผิดชอบเฝ้าน้ำตกใจเท่านั้น”
“ตอนนี้มีหนทางที่จะขึ้นไปหรือไม่?” มู่จิ่วถาม
ลู่ยานับนิ้วคำนวณ พูดอย่างจดจ่อว่า “พวกเรามุ่งไปทางทิศตะวันออก ตอนนี้น้ำท่วมไปทั้งวิหาร ขึ้นไปจะเจอยอดหิน”
มู่จิ่วไร้คำพูด
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จึงทำได้เพียงฟังลู่ยาจัดการ
เขตพลังป้องกันน้ำที่เหมือนกับเรือปิดผนึกทุกด้านลอยมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก ถึงแม้จะโยกไหวไปบ้างแต่ก็ยังถือว่าดี เพียงแค่เหลือบสายตาขึ้นมองรอบด้านต่างก็เป็นน้ำสีเหลืองขุ่น ผสมปนเปไปด้วยกระดูกสัตว์จำนวนไม่น้อยกับเศษซากเสื้อผ้าต่างๆ มองไปแล้วรู้สึกโศกเศร้า น้ำนี้คือน้ำจากท่วมครั้งใหญ่เมื่อหลายแสนปีก่อน ในน้ำทั้งหมดยังไม่เปลี่ยน ยังมีหลักฐานของความโหดร้ายจากอุกทกภัยครั้งใหญ่ในตอนนั้น
ไม่รู้ว่าลอยไปนานไหร่ ทันใดนั้นทิศตะวันออกพลันส่องสว่าง ยังไม่ทันให้นางเตรียมตัว ฉับพลันเขตพลังก็ขยับขึ้นลง พวกเขากับเขตพลังร่วงลงสู่หลุมดำสนิทอย่างรวดเร็ว! จากนั้นไม่นานก็ร่วงลงสู่พื้นแล้วหยุดนิ่ง รอบด้านเริ่มมีแสงดาวห้าสีสาดส่อง!
ซ่างกวนสุ่นเด้งตัวขึ้นมา “มาดูเร็ว! เพชรเต็มไปหมดเลย!”
การมองเห็นของนกย่อมดีกว่าคนเป็นธรรมดา มู่จิ่วได้ยินเขาพูดจบ กว่าจะมองเห็นชัดเจนก็ใช้เวลาอยู่นาน ตอนนี้ที่ที่พวกเขาอยู่คือถ้ำหิน ด้านบนโค้งงอ ด้านล่างปกคลุมไปด้วยหินงอกหินย้อยหลากสี
และด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกลก็มีชั้นหินปีนขึ้นไปด้านบน เหมือนกับสกัดมาจากหินก้อนใหญ่โดยตรง ผนังหินสองข้างมีเพชรเม็ดใหญ่ๆ เล็กๆ มากมายฝังตัวอยู่เต็มไปหมด เมื่อโดนไข่มุกราตรีที่มีอยู่ทุกๆ สามก้าวส่องกระทบ จะส่องแสงบางเบาล้อมรอบทั้งสี่ทิศราวกับดาวล้อมจันทร์!
“ไม่ผิด ที่นี่คือแท่นหอมหมื่นลี้!” ลู่ยาพูดอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินขึ้นชั้นหินไป
“ให้ข้าขึ้นไปก่อน!” ซ่างกวนสุ่นนำขึ้นชั้นหินไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ร้องเสียงหลง “รีบดึงข้าเร็ว! ข้าติดอยู่!”
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมอง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง
เห็นเพียงนกยักษ์ที่แต่เดิมช่างกล้าแกร่งช่างอวดเบ่ง ยามนี้ถูกผนังหินแคบๆ บีบอัดจนเป็นแผ่นแป้งรูปนก…
“หัวเราะอะไร! รีบมา!” ซ่างกวนสุ่นระเบิดอารมณ์พูด
มู่จิ่วกลอกตา อดไม่ได้เดินไปเคาะหัวเขา “เจ้าเปลี่ยนเป็นร่างคนจะตายหรือไร!” พูดจบก็ไม่สนใจเขา เดินข้ามหัวผ่านไป
หลังจากผ่านอันตรายมาใจก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก ไหนเลยจะเหมือนอยู่ในหลุมอันมืดดำนี่
ซ่างกวนสุ่นแม้จะรู้สึกเจ็บปวดแต่กลับตอบโต้ไม่ได้ ทำได้เพียงถึงตาใส่นาง พูดว่า “พวกมนุษย์จะมาสู้รูปร่างอันสูงส่งของพวกเรานกต้าเผิงได้อย่างไร…เอ้ย เจ้าอย่าเพิ่งไป! รอข้าก่อน!” พูดจบก็รีบหดร่างพุ่งไปข้างหน้า โซเซจนเกือบจะล้มคว่ำลงอยู่หลังส้นเท้าลู่ยา
มู่จิ่วรู้สึกเพียงด้านหลังมีลมเกิดขึ้น จึงหมุนตัวไปตามสัญชาตญาณ ก็เห็นเบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกหน้าหยกปากแดงเพิ่มขึ้นมา
เด็กหนุ่มใช้มือจับผนังหินพยุงร่างที่เอนไปข้างหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัด ระหว่างคิ้วมีจุดสีแดง นัยน์ตาซ่อนความดื้อรั้น ขอบเสื้อคลุมสีเงิน เผยให้เห็นอาภรณ์ส่วนล่างสีขาวหิมะกับรองเท้าผ้าสีดำมะเมื่อม ผมสีดำทั้งหมดรวบไว้กลางศีรษะ ข้างเอวเหน็บหินหยกงดงามก้อนหนึ่ง หากพบเจอข้างนอกต้องถูกเข้าใจไปว่าเป็นลูกหลานราชวงศ์ไหนเป็นแน่
“ร่างมนุษย์ของเจ้านี่ดูดีมากไม่ใช่หรือ!”
มู่จิ่วมองดูเขาขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นก็ถามลู่ยา “เจ้าว่าอย่างไร?”
ลู่ยากวาดสายตามองอย่างเย็นชา ทำให้คำพูดที่ซ่างกวนสุ่นคิดจะต่อว่าออกมาต้องกลืนกลับลงไป ซ่างกวนสุ่นสะบัดก้น สลัดพวกเขาทิ้ง แล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดังก่อนเดินหน้าต่อ
ชั้นหินวนขึ้นเป็นวงกลม ระหว่างทางมองไม่เห็นสิ่งใด
เดินมาตลอดไม่รู้ว่ากี่ร้อยขั้น ห่างจากพื้นประมาณสิบจั้งได้ ซ่างกวนสุ่นที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันร้อง ‘ว้า’ ขึ้น ก่อนกระเด็นกลับลงมา ดีที่ลู่ยามือเร็วตาไว ยกเท้าขึ้นยันช่วงหลังเอวเขาไว้ได้ จึงไม่ทำให้เขากลิ้งออกจากถ้ำหินไป!
มู่จิ่วตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงเบื้องหน้าชั้นหินมีปราการเซียนชั้นสีขาวลอยอยู่ ที่แท้ก็เป็นเขตพลัง!
แต่เดิมเข้าใจว่าหลังจากผ่านด่านน้ำแล้วตลอดทางจะราบรื่น คิดไม่ถึงว่ายังมีด่านอีก
ตอนนี้ไม่พูดถึงว่าพลังของเขตพลังมากถึงขนาดดันซ่างกวนสุ่นให้ถอยกลับมาได้ ถึงแม้พวกเขาจะมีวิธีทลายมัน แต่เขตพลังนี้เพียงขยับไหว ราชาจิ้งจอกจะต้องรู้ตัว ถ้าราชาจิ้งจอกรู้ตัวแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องพวกเขาจะดูร่างของจิ้งจอกน้อยเลย แม้แต่ออกจากชิงชิวโดยสวัสดิภาพก็อย่าได้คิด!
“เจ้ามีวิธีหรือไม่?” นางมองลู่ยา แต่ที่จริงในใจไม่ได้มีความหวังอะไรอยู่แล้ว สุดท้ายทั้งหกภพใช่ว่าจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา
ลู่ยาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือไปแตะด้านนอกเขตพลังเบาๆ การแตะนั้นทำให้เกิดเสียงดังหึ่งๆ เป็นเสียงกึกก้องทว่าไม่แข็งกระด้าง เหมือนเสียงพิณแต่ไม่อ่อนช้อยขนาดนั้น
“เจออะไรหรือไม่?” มู่จิ่วถาม
ลู่ยาพลันชักมือกลับมา หัวคิ้วผูกกันแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบกระเรียนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากใส่พลังฤทธิ์เข้าไปแล้วก็ให้มันเข้าใกล้ช่องแคบที่พื้นเพื่อบินเข้าไปในเขตพลัง
กระเรียนกระดาษบินเข้าไป หมุนรอบหนึ่ง ก่อนร่อนลงสู่พื้นอย่างไร้รอยขีดข่วน
เขตพลังกลับไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย!
เรื่องที่ยิ่งทำให้คนพูดไม่ออกคือ เขตพลังนี้ยังมีช่องแคบให้ลมผ่านด้วย…
ลู่ยาสะบัดแขนเสื้อพูด “ข้ารู้สึกมาตลอดว่าเหมือนเป็นกับดัก”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง…กับดัก?
กับดักอะไรลู่ยากลับไม่ได้พูด แต่จ้องมองเขตพลังนั้นไม่ขยับ ราวกับบนนั้นมีสาวงามอยู่เต็มไปหมด
ตอนที่ 82
จิ้งจอกน้อยผู้งดงาม
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วรอจนร้อนใจ ลู่ยาถึงได้หันหน้ามามองนางก่อนพูด “ตอนนี้ข้าแน่ใจได้ว่าจิ้งจอกน้อยอยู่ข้างในนี้แน่นอน แต่การจะเข้าไปมีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้น และหากเข้าไปแบบนี้อาจมีอันตรายได้ เจ้ายังอยากเข้าไปหรือไม่?”
“อันตราย?” มู่จิ่วอึ้งไป “มีเท่าไหร่?”
ลู่ยาลูบจมูก “ตอนนี้ข้าก็พูดได้ไม่แน่ชัด”
มู่จิ่วลังเลอยู่บ้าง หากอันตรายถึงชีวิต แบบนั้นก็ไม่คุ้มค่า
แต่พวกเขาก็มาถึงที่นี่แล้ว ก้าวเท้าเดียวก็ถึงธรณีประตูยังจะให้ถอยหลังกลับหรือ? อีกอย่างพวกเขาถูกมู่หรงเส่าชิงขังไว้ในคุกหิน ออกไปครานี้จะกลับเข้าคุกหรือออกจากชิงชิว? หากออกจากชิงชิวไป พวกจิ้งจอกเฒ่าไม่รับปากก็อาจไม่มีคนรามือ สุดท้ายยังคงตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาอยู่ดี!
“ขอแค่ไม่ถึงตาย แบบนั้นก็ไปเถอะ!”
นางไม่มีทางให้ถอย ถึงแม้ไม่ใช่เพื่อปกป้องลู่ยาก็เพื่อสร้างบุญกุศลให้แก่ตัวนางเอง
พูดอีกอย่าง นางไม่อยากเป็นเพื่อนบ้านกับพวกหยางอวิ้นแล้วจริงๆ
ลู่ยาขมวดคิ้วมองนางอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า จากนั้นก็ลอดผ่านช่องแคบด้านล่างเขตพลังนำหน้าเข้าไป
มู่จิ่วกับซ่างกวนสุ่นก็ระวังหลังเข้าไปข้างใน
ทั้งสามไม่กล้ารั้งอยู่นาน รีบหมุนตัวเดินเข้าไป
พวกเขาเดินขึ้นไปถึงจุดที่สูงที่สุดของชั้นบันไดหินอย่างรวดเร็ว ข้ามผ่านพื้นราบบนจุดสูงสุดนี้ไป ชั้นหินก็วนลงอีกครั้ง อากาศก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ
มู่จิ่วยังดีที่นางมีลูกโลหิตมังกร ลู่ยาก็ไม่รู้สึกอะไร ทว่าซ่างกวนสุ่นทรมานเล็กน้อย เพิ่งลงไปได้ไม่กี่สิบขั้นก็กอดแขนตัวสั่น คิดจะเปลี่ยนกลับเป็นร่างนก แต่ทางเดินแคบผ่านไปไม่ได้ สุดท้ายก็ยังคงเป็นลู่ยาผู้ยิ่งใหญ่ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้น้อย หยิบเอายาจากกระเป๋าเล็กส่งให้เขา
หลังกินยาเข้าไปซ่างกวนสุ่นก็ไม่หนาวแล้ว
ครั้นเดินลงไปอีก ชั้นหินก็ไปถึงข้างล่าง อ้อมผ่านประตูหินที่อยู่ชั้นล่างสุดเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหยดติ๋งติ๋งของน้ำ! อ้อมผ่านเสาหินอีกหลายเสา สระน้ำสีเขียวมรกตกระเพื่อมไหวก็พลันปรากฏสู่สายตา
น้ำในสระเหมือนกับหินหยกก้อนใหญ่ฝังอยู่บนพื้นหินสีเทาของภูเขา
ริมน้ำล้วนเป็นหินประหลาด และกลางสระน้ำก็มีแท่นหยกรูปร่างกลมสีเขียวสด บนแท่นหยกมีเห็ดหลินจือทองขนาดเท่าร่ม ใต้เห็ดหลินจือมีถาดมรกตเล็กๆ สองถาดวางอยู่บนก้านทองแดง บนถาดมีคางคกทองหมอบอยู่ น้ำจากปากคางคกทองไหลลงข้างล่าง ค่อยๆ รินรดลงบนเบ้าตาของจิ้งจอกน้อยสีทองที่นอนราบอยู่บนแท่นหยก
เห็ดหลินจือทองและคางคกทองต่างก็เป็นของมีค่าหายากในฟ้าดินนี้ แต่กลับมาปรากฏตัวพร้อมกันอยู่ที่กลางน้ำมรกตนี่!
สิ่งที่ยิ่งทำให้คนตกใจระคนยินดีคือ กายเนื้อของเจ้าจิ้งจอกน้อยซ่อนอยู่ที่นี่!
มู่จิ่วอดใจไม่ได้ เร่งเดินเข้าไปถึงริมน้ำ เห็นเพียงบนแท่นหยกมีจิ้งจอกน้อยขนาดราวสองฉื่อ หางทั้งเก้าแผ่ออกมาราวกับดอกไม้หลากสีสัน ร่างทั้งร่างเปล่งแสงสีทอง ช่างเป็นจิ้งจอกผู้งดงามที่มีน้อยยิ่งนัก!
เพียงแค่เข้าไปใกล้ แขนของนางก็รู้สึกเย็นอยู่บ้าง ผิวน้ำของสระน้ำนี้เปรียบกับน้ำแข็งแล้วยังเย็นกว่า คนที่ลอยอยู่ข้างบนยังรู้สึกถึงความเย็นที่ลอยมากระทบจมูก ถึงแม้มู่จิ่วจะไม่ถึงกับหนาว แต่ก็ไม่มีทางนิ่งเฉยต่อความเย็นนี้ได้ นางโค้งเอวลงไปดูอย่างละเอียด สระน้ำนี้เป็นน้ำที่ไหนกัน? เห็นชัดว่าเป็นหยกโมราที่หลอมละลาย!
หยกโมราคือของยอดเยี่ยมชั้นหนึ่งที่มีไว้เพิ่มพลังฤทธิ์ น้ำลายของคางคกทองก็ช่วยคงไว้ซึ่งอุณหภูมิเดิมของร่างกาย และเป็นของมีค่าที่ป้องกันพิษได้ดีที่สุด ยังมีเห็ดหลินจือทองขนาดใหญ่นั่นอีก มีมันอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือปีศาจพลังฤทธิ์จะเพิ่มขึ้นไม่มีลด คิดไม่ถึงเลยว่าจิ้งจอกเฒ่าจะสร้างสระน้ำใหญ่รวมของมีค่าขนาดนี้ให้บุตรชายของเขารักษาร่างกาย หากนำสระนี้ออกไปขาย อย่างน้อยก็สามารถซื้อเมืองได้ถึงสิบเมือง!
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นจิ้งจอกน้อย” ตอนนี้ซ่างกวนสุ่นก็เดินเข้ามา “จิ้งจอกเก้าหางสีทองมีน้อยนัก! แต่เทียบกับเผ่านกต้าเผิงของพวกเราแล้วก็ไม่นับเป็นอะไร!”
มู่จิ่วถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง จากนั้นก็เรียกพลังฤทธิ์ขึ้นมาตรวจสอบว่ากลางแท่นหยกมีอันตรายหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มี
ดังนั้นจึงเหินกระบี่เข้าไปตรงกลาง ยื่นมือไปตรวจชีพจรของจิ้งจอกน้อย มันราบเรียบเหมือนกับกระจก ร่างทั้งร่างเย็นเสียดกระดูก แต่ร่างกายกลับอ่อนนุ่มมาก ตัวอ้วนพี ขนทั้งร่างยิ่งดูใกล้ยิ่งสวยงาม
ตระกูลจิ้งจอกเก้าหางแต่ละคนต่างก็รูปร่างหน้าตางดงามเสียจริง
มู่จิ่วมองดูบนล่างรอบหนึ่ง ก่อนพลิกร่างเขาดูอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็พูดกับลู่ยาที่ตามมาทีหลังว่า “ไม่มีบาดแผล”
ในความเป็นจริงแล้วนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเป็นเซียน จึงรู้ว่าการสังหารคนมีหลากหลายวิธีนัก ไม่ใช่ว่าต้องมีบาดแผลจึงจะเอาชีวิตได้อย่างเดียว นอกจากการวางยา ตัดชีพจร ทำลายจิตต้นกำเนิด ยังมีของวิเศษอีกหลายประเภทที่ใช้ทำร้ายได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน จะมากหรือน้อยก็ต้องมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง ตอนนี้ผิวหนังของเจ้าเด็กน้อยไม่เพียงแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลังโดนวางยา ทว่ายังไม่มีสีหน้าหวาดกลัวและตกใจหลังจากโดนทำร้ายด้วยของวิเศษ จิตต้นกำเนิดไม่อยู่ในร่างจริงๆ แต่เขาสูญเสียจิตจิ้งจอกไป จิตต้นกำเนิดไม่อยู่ก็เป็นไปตามเหตุผลแล้ว
ลู่ยามองดูก่อนพูด “เป็นการใช้ของวิเศษทำร้าย”
มู่จิ่วกำลังจะถามว่าเขาดูออกได้อย่างไร เขากลับดึงผมเส้นหนึ่งจากศีรษะของเด็กน้อยวางไว้บนฝ่ามือ พลังหยั่งรู้ปรากฏขึ้นมา ก็เห็นกลางฝ่ามือเขาเปลี่ยนเป็นกระจกบานหนึ่ง ด้านในมีภาพคนลอยเคลื่อนไหว คือจิ้งจอกน้อยที่ฝึกควบคุมพลังกับมู่หรงเส่าชิงจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตนนั้น
ในกระจก จิ้งจอกน้อยฝึกควบคุมก้อนพลังอยู่ครู่หนึ่ง นั่งจนอยากงีบหลับ มู่หรงเส่าชิงส่ายศีรษะ แล้วหยิบเหรียญหยกออกมาให้เขา ชี้ออกไปด้านนอกให้เขาไปทำอะไรสักอย่าง
จิ้งจอกน้อยกลับมาสติแจ่มใส รับเงินออกจากประตูตำหนัก มุ่งตรงไปด้านนอกวังจิ้งจอก นอกประตูวังมีคนเดินผ่านทางเขาก็ไม่ได้สนใจ ก้าวเท้าไปยังทิศตะวันออกตามถนนใหญ่อย่างดีอกดีใจ และในกระจกสามารถมองเห็นได้ ด้านหลังเขาไม่ไกลมีนักพรตเต๋าสองคนสวมเสื้อสีเรียบง่ายเดินตามอยู่
“เป็นคนของลัทธิฉ่านจริงๆ” มู่จิ่วหลุดปากพูด
ทุกสำนักภายใต้การควบคุมของลัทธิฉ่าน ถึงแม้จะมีสีของเสื้อแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน แต่ด้านหลังล้วนปักลายแผนผังแปดทิศเหมือนกันหมด และที่สายคาดเอวก็ปักสัญลักษณ์นกเสวียน นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจนัก ไม่ต้องพูดว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร แค่เพียงสองคนนี้ตามจิ้งจอกน้อยไป ก็แน่นอนว่าไม่สามารถปฏิเสธความเกี่ยวโยงกับลัทธิฉ่านได้แล้ว
เมื่อดูต่อไป
จิ้งจอกน้อยเดินไปตามถนนใหญ่จนถึงตลาดในเมือง เจอร้านหนังสือที่จิ้งจอกเทาเปิด เขาหยิบหนังสือออกมา สุดท้ายก็ซื้อสองเล่ม แท่นฝนหมึกหนึ่งอัน ทางผ่านมีร้านขายขนมหวานที่ท่านย่าหมีเปิด ก็ยังซื้อขนมถั่วตัดมาครึ่งชั่ง หน่ายเล่า (ชีส) หนึ่งชั่ง ใช้เงินไปจำนวนไม่น้อย จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นกลับไปยังวังจิ้งจอก
ตอนนี้เอง สองคนที่ตามเขามาตลอดก็เลี้ยวเข้าไปยังร้านขายขนม ถามอะไรสักหลายคำ จากนั้นก็ตามจิ้งจอกน้อยต่อ
ในที่สุดพวกเขาก็ตามเขาทันตรงป่าไผ่ระหว่างทาง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเขา เห็นเพียงสีหน้าของจิ้งจอกน้อยเปลี่ยนไปอย่างมาก จากนั้นก็เดินตามการนำทางของทั้งสองคนกลับทางเดิม ก่อนจะเลี้ยวไปที่ตรอก มุ่งตรงออกไปยังนอกประตูเมืองชิงชิว!
หลังออกจากเขตพลัง พวกเขาทั้งสามก็มุ่งไปทางทิศตะวันตก จนถึงริมน้ำตรงเนินเขาทางทิศนั้น คนด้านหลังทั้งสองอาศัยตอนที่จิ้งจอกน้อยตะโกนร้องเสียงแหลมอะไรบางอย่างเลียบริมน้ำ พลันชูมือทั้งสองที่เต็มไปด้วยพลังขึ้น เล็งอย่างช้าๆ ไปยังศีรษะของจิ้งจอกน้อยที่หันหลังให้พวกเขาอยู่โดยไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย…
ตอนที่ 83
มาอาบน้ำหรือ?
โดย
Ink Stone_Romance
จิ้งจอกน้อยล้มลงไปกับพื้นโดยไม่ได้ร้องสักคำ
ต่อมาสองคนนี้ประคองเขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ คนหนึ่งสองมือประคองแผ่นหลัง คนหนึ่งร่ายคาถาอยู่ด้านหน้า จิตจิ้งจอกระยิบระยับขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองก็ลอยออกมาจากปากจิ้งจอกน้อยที่สลบไสลอย่างช้าๆ!
เมื่อจิตจิ้งจอกถึงมือ ทั้งสองคนรีบเผาผ้ายันต์แล้วหนีไป
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!” มู่จิ่วเข้าใจขึ้นมาทันที จิตต้นกำเนิดรวมอยู่กับจิตจิ้งจอก สูญเสียจิตจิ้งจอกไปแน่นอนว่าเท่ากับตาย! และในเมื่อลู่ยาสามารถใช้ผมของจิ้งจอกน้อยดูเรื่องราวที่แท้จริงได้ เป็นธรรมดาที่พวกจิ้งจอกเฒ่าจะต้องดูได้เหมือนกัน จึงไม่แปลกที่พวกเขาไล่ล่าศิษย์ลัทธิฉ่านอย่างไม่ลดละ
“แต่ข้ายังรู้สึกว่าแปลกอยู่” นางเงียบไปครู่ก่อนพูด “เขตพลังของชิงชิวมีภาพมายาแข็งแกร่งขนาดนั้น เจ้าสองคนนี้เข้ามาในชิงชิวได้อย่างไร? ในเมื่อพวกเขาต้องการก่อคดี ทำไมถึงไม่แปลงโฉม กลับสวมเสื้อของลัทธิฉ่านวางก้ามอวดเบ่งเดินเข้าออก?”
“อีกอย่าง ถึงแม้จิตจิ้งจอกของจิ้งจอกน้อยมีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญตนอย่างมาก แต่อย่างไรพลังของเขาก็ยังไม่ล้ำลึก ในโลกนี้มีของวิเศษที่มีประโยชน์กว่าจิตจิ้งจอกของเขาอีกมาก ทำไมพวกนั้นต้องเสี่ยงกับการโดนชิงชิวไล่ฆ่าแบบนี้ด้วย?”
ซ่างกวนสุ่นกะพริบตามองไปทางลู่ยา
ลู่ยาเก็บมือกลับมาไพล่ไว้ข้างหลัง พูดว่า “คำอธิบายที่น่าเชื่อถือที่สุดคือ มีคนก่อเรื่องสร้างความขัดแย้งให้แต่ละภพกับลัทธิฉ่านอย่างลับๆ ส่วนเรื่องเขตพลัง ชิงชิวมีเส้นทางสำหรับประชาชนเดินเข้าออก ด้านนอกยังมีเส้นทางให้เข้ามาทำการค้าข้างในได้ พวกเขาแค่หาทางจัดการให้ได้ใบผ่านทางมา เดินทางเข้าออกจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
มู่จิ่วขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร
นางรู้เรื่องทางเข้าออกของชิงชิว
ที่จริงนางก็คาดเดาไว้แบบนี้ เพราะใบอนุญาตเหล่านี้ชัดแจ้งอย่างมาก ผู้มีฝีมือสูงส่งในลัทธิฉ่านที่สามารถบำเพ็ญตนจนขโมยจิตจิ้งจอกแบบนี้ ศีรษะไม่น่ามีความเป็นไปได้ที่จะโดนประตูหนีบมาก่อน พวกเขาตั้งใจแต่งตัวมาแบบนี้ และยังตั้งใจเข้าไปหาร้านขายขนมของหมีเฒ่าเพื่อถามเรื่องจิ้งจอกน้อย นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือว่าเป็นการมุ่งความน่าสงสัยไปยังลัทธิฉ่าน?
แต่คนที่ก่อกวนทำให้บาดหมางจะเป็นใครไปได้ล่ะ?
“ไม่ถูก วิชาหลบหนีที่พวกมันใช้เป็นของลัทธิฉ่าน!” เสียงแหลมของซ่างกวนสุ่นดังขึ้นมา “คาถาผ้ายันต์นอกจากศิษย์ลัทธิฉ่านแล้วใครจะสร้างได้อีก? เป็นพวกมันนั่นแหละที่ทำ! ตอนนี้ลัทธิฉ่านมีอำนาจไปทั่ว แม้แต่อวี้ตี้ยังต้องไว้หน้าสามส่วน ล่วงเกินชิงชิวสำหรับพวกมันแล้วนับเป็นอะไรได้? พวกเราเขาเนินอารามก็ต้องเป็นพวกนั้นทำร้ายแน่นอน!”
ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้าง มือทั้งสองกำหมัดแน่น
มู่จิ่วไร้คำพูด
คำพูดนี้ของซ่างกวนก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลทั้งหมด
หากลัทธิฉ่านไม่ก้าวร้าวขนาดนี้ นางจะทำภูเขาของพวกเขาถล่มจนได้รับโทษทัณฑ์อสุนีบาตสามสายหรือ? หากไม่ใช่เพราะมีอำนาจจึงไม่เกรงกลัว จะรวมหัวกันไล่จับอาฝูที่น่าสงสารกลับไปรังแกได้หรือ? หากไม่ใช่ให้ศิษย์ลัทธิฉ่านใช้เส้นสายละทิ้งหน้าที่ หยางอวิ้นกับอิ่นเสวี่ยรั่วจะตีกันจนเป็นแบบนั้นหรือ? และสุดท้ายยังกลับมาแบบไร้รอยขีดข่วนด้วย?
แต่นางเพียงแค่รับลู่ยาไว้เท่านั้น จางเหยี่ยนซิงจวินกลับพูดแต่ละประโยคก็จะไล่นางออกจากสวรรค์!
นี่คือความแตกต่าง
เป็นการยืนยันว่าศิษย์ลัทธิฉ่านไม่ใส่ใจว่าจะมีใครรู้หรือไม่ว่าเป็นพวกเขาเป็นคนก่อคดี!
จิ้งจอกน้อยพื้นฐานอ่อนแอ คงยังไม่ได้ผ่านด่านเคราะห์แต่อย่างใด วันนี้เป็นเพียงสัตว์เซียนตัวน้อยที่พลังบำเพ็ญสูงหน่อยเท่านั้น พวกเขาจะต่อกรด้วยไม่ใช่เรื่องยาก และคาถาผ้ายันต์หลบหนีประเภทนี้มีชื่อเสียงมาก นอกจากพวกเขาที่ชอบใช้ยันต์หลบหนีเป็นประจำแล้วยังนึกไม่ออกว่าจะมีใครอีก
“พูดแบบนี้แปดเก้าในสิบส่วนก็เป็นพวกเขาแล้ว” มู่จิ่วขมวดคิ้วแน่นพลางพูด
ขณะกำลังจะพูดต่อ ลู่ยาที่อยู่ด้านข้างร่างกายพลันกระตุกเล็กน้อย น้ำในสระมรกตด้านหลังพลันสั่นไหว ต่อมาแท่นหินก็เริ่มสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงอันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งดังแหวกอากาศมา “ท่านพ่อ มาถึงตอนนี้ท่านควรเชื่อคำพูดข้าได้แล้วกระมัง?”
คล้อยหลังเสียง คนนับสิบพลันเผยร่างตรงประตูหินที่พวกเขาผ่านมาเมื่อครู่ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นมู่หรงเส่าชิงกับราชาจิ้งจอกและมู่หรงเสวี่ยจี! ด้านซ้ายของพวกเขาเป็นหญิงสูงศักดิ์งามสง่าวัยกลางคน บนศีรษะประดับเครื่องประดับ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นราชินีจิ้งจอกแห่งชิงชิว!
ทุกคนมองมาทางพวกเขาทั้งสามบนแท่นหยกตรงกลางอย่างเย็นชา จะมีก็แต่เพียงสายตาของมู่หรงเสวี่ยจีที่จับจ้องอยู่บนใบหน้าลู่ยา
มู่จิ่วไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง คนเหล่านี้มาได้อย่างไร?
“เหอะ! พวกเจ้ามากันมากขนาดนี้ หรือว่านัดกันมาอาบน้ำ?”
นางยังไม่ทันพูด ซ่างกวนสุ่นก็โดดออกมาแล้ว
มู่จิ่วกลั้นเหงื่อบนหน้าผาก หันไปถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็พยายามสงบใจประสานมือหันไปพูดกับราชาจิ้งจอก “ราชาจิ้งจอก ได้โปรดฟังพวกเราอธิบาย…”
“ไม่ต้องอธิบาย!” สายตาของมู่หรงเสวี่ยจีย้ายจากใบหน้าลู่ยามาอยู่ที่นาง ก่อนพูดด้วยความโกรธแค้น “พวกเจ้ากล้านัก ข้าจะปล่อยให้ออกมาพวกเจ้าไม่ออก กลับลักลอบมาเหยียดหยามกายเนื้อของน้องสี่ข้าถึงแท่นหอมหมื่นลี้ เหล้ามงคลไม่ดื่มแต่กลับดื่มสุราทัณฑ์[1]! ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าดูแล้วสามคนนี้ควรส่งให้พี่รองจัดการจึงจะดี”
“เสวี่ยจีพูดถูกแล้ว! พวกเขาฆ่านกของข้าตาย จากนั้นก็เจตนาไม่ดี บุกรุกเข้ามาถึงที่วางร่างน้องสี่ กระทำเรื่องไม่สมควร ตอนนี้ถูกพวกเราจับได้ยังมีเรื่องอื่นใดให้น่าพูดอีกกัน!”
มู่หรงเส่าชิงไม่รอมู่จิ่วเปิดปาก ก็พูดต่อจากคำพูดของมู่หรงเสวี่ยจี สายตาเย็นชาสองสายมองตรงมาราวกับจะทิ่มแทงให้พวกเขากลายเป็นตะแกรง
พูดจบเขาก็กลับไปที่เบื้องหน้าราชาจิ้งจอก สองตาเหลือบมองมา “ท่านพ่อ โฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาท่านน่าจะเห็นแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกได้พูดกับท่านแล้วว่าพวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ของลัทธิฉ่าน คราวนี้มุ่งมายังน้องสี่ท่านยังไม่เชื่ออีก ตอนนี้พวกเขาไม่เพียงแต่เข้ามาเองโดยพลการ ยังยืนอยู่ข้างร่างของน้องสี่ หากไม่ได้มาทำร้ายน้องสี่จะมาทำอะไร?”
“และไม่เพียงเท่านี้ ท่านดูพวกเขาสิ ยังแอบนำผู้ช่วยเข้ามาอีก หลังจากตั้งใจยุให้ข้ากับท่านโกรธ ก็จะให้นกต้าเผิงปรากฏตัวช่วยพวกเขาออกไป เข้าใจไปว่าจะทำสำเร็จได้โดยไร้ร่องรอย กลับไม่รู้ว่าข้าจับทางได้ตั้งแต่ต้น รู้ว่าพวกเขามาเพราะน้องสี่ ดังนั้นจึงมาดักรออยู่ที่นี่นานแล้ว!”
“เจ้าพวกเลวที่เหยียดหยามพวกเราเผ่าพันธุ์จิ้งจอกชิงชิว ไม่ตีเข้าผาอู่เจวี๋ยจะเก็บไว้ทำไม”
มู่จิ่วมองเขาตาเบิกกว้างปากอ้าค้าง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ที่แท้นี่เป็นแผนหลอกงูเข้าถ้ำของเจ้าชั่วช้ามู่หรงเส่าชิง?
มิน่าล่ะ ด้านนอกคุกหินเมื่อครู่ถึงไม่มีคนอยู่เลย แม้แต่ซ่างกวนสุ่นตะโกนโหวกเหวกอยู่ตรงปากทางเข้าอยู่นานก็ไม่มีคนนอกเข้ามา อีกทั้งตลอดทางนอกจากด่านของวิหารหินแล้ว แม้แต่ผีสักตนก็ยังไม่มี และถ้ำหินของจิ้งจอกน้อยก็ไม่มีคนเฝ้าสักคน ยิ่งไม่มีสัตว์ปีศาจอะไรด้วย สุดท้ายที่แท้ก็เป็นหลุมกับดักที่มู่หรงเส่าชิงขุดไว้!
เจ้าจิ้งจอกเหม็นโฉ่!
อายุน้อยแต่กลับวางแผนร้ายทำร้ายคนแบบนี้ได้!
มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้ลู่ยาอยู่นอกเขตพลังถึงได้พูดว่าสงสัยนี่จะเป็นกับดัก!
แต่พูดแบบนี้ มิใช่ว่าลู่ยาสงสัยมู่หรงเส่าชิงนานแล้วหรือ?
ตอนที่ 84
ไม่ถึงกับตาย
โดย
Ink Stone_Romance
นางอดไม่ได้ที่จะมองไปทางลู่ยา ลู่ยาหันมามองนาง ทว่าไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้เผชิญหน้ากับกลุ่มจิ้งจอกที่พลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่านางหลายเท่า นางควรจะทำอย่างไรดี?
“ท่านพ่อ ท่านควรออกคำสั่งได้แล้ว”
มู่หรงเส่าชิงเอ่ยเร่ง
ราชาจิ้งจอกไพล่มือขมวดคิ้ว จ้องมู่จิ่วอยู่นาน เขาหันไปแลกสายตากับราชินีจิ้งจอก ก่อนพูดขึ้นว่า “พวกเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ในใจมู่จิ่วลอบสาปแช่งบรรพบุรุษเขาสิบแปดรุ่นไปหนึ่งรอบ แต่เมื่อคิดๆ ดู มู่หรงเส่าชิงคนสมควรตายนั่นพูดไปจนหมดแล้ว แท้จริงไม่มีอะไรให้พูดอีก ดังนั้นจึงตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะมีคำพูด แต่อย่างไรพวกท่านก็คงไม่เชื่อ พวกท่านคิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถิด” เท้าเปล่าของนางไม่กลัวการสวมรองเท้าแล้ว[1] อย่างแย่ที่สุดนางก็ทำลายถ้ำนี้ ทุกคนตายไปด้วยกัน!
ดูสิว่าชีวิตใครสำคัญกว่า!
พูดจบนางก็วางลูกโลหิตมังกรไว้กลางฝ่ามือ
นางเป็นธาตุทอง หากเม็ดพลังทองคำในร่างปะทะกับธาตุไฟจะต้องเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ความแรงของระเบิดไฟไม่เป็นสองรองจากแรงระเบิดของดินปืนจำนวนสองตัน หากพวกเขารังแกกันเกินไป นางก็แค่ลุยกับพวกเขา!
“บังอาจ!” จิ้งจอกเฒ่าพ่นลมออกทางจมูก ชี้มู่จิ่วพลางด่าทอ “อะไรคือพวกเราคิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น? ตอนนี้พยานหลักฐานแน่ชัดแล้วไม่ใช่หรือ?!”
เขาโกรธก็ส่วนโกรธ แต่กลับไม่สามารถทำเหมือนกับเจ้าเด็กน้อยเส่าชิงได้
คนเบื้องหน้าหลายคนมาเพราะได้รับคำสั่งจากทัพทหารสวรรค์ ถึงแม้ชิงชิวของพวกเขาจะสูงศักดิ์มิมีใครเทียม และไม่เคยเห็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวินอยู่ในสายตา แต่ที่สุดแล้วทุกเรื่องล้วนมีเหตุมีผล ปิดประตูบ่นสักหลายคำก็พอแล้ว หากลงมือสังหารเจ้าหน้าที่สวรรค์ที่ถูกส่งมาทำคดีจริง ภายหลังเขาก็ไม่มีผลดีอะไร
อีกอย่าง ในใจเขาทำไมถึงได้กลัวเจ้าเด็กเสื้อขาวข้างกายนางคนนั้นนัก?
“แน่นอนกับผีน่ะสิ!” ซ่างกวนสุ่นเปล่งเสียงแหลม “ดวงตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นว่าข้าลงมือกับลูกเจ้า? ข้าเป็นองค์ชายเจ็ดผู้องอาจแห่งเขาเนินอาราม ออกมาสืบเสาะหาความจริงของคดีนั้นของเขาเนินอาราม ข้าเชื่อใจพวกเขาได้ พวกเจ้าทำไมจะเชื่อไม่ได้? บุตรคนรองของบ้านพวกเจ้าแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของดีอะไร มิสู้สังหารเขาซะ ป้องกันไม่ให้เขาไปทำร้ายคนอื่น!”
มู่หรงเส่าชิงโกรธจนดวงตาทั้งสองแทบจะพ่นพิษออกมา
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดัง ยกนิ้วโป้งให้ซ่างกวนสุ่น
เจ้าคนนี้ปกติไม่เอาอ่าว วันนี้กลับประพฤติตนได้ดีมาก!
“วันนี้หากปล่อยพวกเจ้าไป ข้าก็ไม่แซ่มู่หรงแล้ว!”
ทางนี้เพิ่งจะดีใจ ฝั่งตรงข้ามมู่หรงเส่าชิงกลับร้องคำราม ร่างคนเหมือนกับลูกธนูเด้งตัวขึ้นมากลางอากาศ มือทั้งสองพลิกพลิ้วไหว พลังฤทธิ์พลันรวมกันกลายเป็นระฆังม่วงอมทองขนาดมหึมา พลิกกลับแล้วพุ่งไปกดยังเหนือศีรษะของพวกเขา!
“ระวัง!”
มู่จิ่วเพิ่งจะเตรียมชักกระบี่ออกมารับมือ ลู่ยาสะบัดแขนเสื้ออย่างรวดเร็วก่อนดึงนางเข้าไปใต้แขนเสื้อ!
ระฆังม่วงอมทองร่วงลงมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ขณะที่ร่วงลงมาก็มีเสียงอสูรเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำดังเข้ามาในหูอย่างไม่ขาดสาย! และเสียงอสูรนี้เหมือนกับเสียงที่ได้ยินที่เกาะเป่ยอี๋ไม่มีผิด!
เสียงอสูร?
ใช่แล้ว! นางกลับลืมไป! ที่แท้เจ้าหนุ่มคนนี้คือคนที่วันนั้นทำร้ายนางจนร่วงลงไปในบ่อและเกือบทำให้นางเอาชีวิตไม่รอด!
“ในเมื่อพวกเจ้าอยากเจอน้องสี่ของข้า มิสู้รั้งอยู่เป็นเพื่อนเขาที่นี่ตลอดไป!”
ระฆังม่วงอมทองครอบลงมาปิดพวกเขาทั้งสามอย่างรวดเร็ว คล้อยหลังเสียงอันโหดเหี้ยมของมู่หรงเส่าชิงที่ลอยเข้ามา ช่องว่างสุดท้ายก็ผสานกันแน่น
ซ่างกวนสุ่นด่าทอพลางออกแรงผลักด้านบน แต่ก็ไร้ประโยชน์ ระฆังนี้เหมือนกับเจดีย์เหลยเฟิงที่ขังงูขาวไว้ ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
และเสียงอสูรนั้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ในสามคนนั้นมู่จิ่วพลังบำเพ็ญต่ำที่สุด เสียงอสูรนี้เคยทำร้ายซ่านเซียนลัทธิฉ่านสองคนมาแล้ว พลังฤทธิ์ของนางถูกผนึก ตอนนี้ก็จึงกินแรงไปบ้าง
ลู่ยาดึงนางเข้ามา สองนิ้วกดลงบนชีพจรนางเพื่อให้พลังฤทธิ์ รอหลังจากนางมีสติกลับมาจึงพูดขึ้น “อย่าเพิ่งรีบเป็นลมไปก่อน นี่ไม่ถึงกับตายหรอก”
เขาไม่พูดก็ดีอยู่แล้ว คำพูดนี้กระตุ้นความโกรธในใจมู่จิ่วขึ้นมา “เจ้ารู้อยู่ชัดๆ ว่านี่คือกับดักที่มู่หรงเส่าชิงขุดไว้ ไม่เพียงแต่ไม่ห้ามข้า ยังเต้นไปตามเขาอีก ตอนนี้ถูกระฆังนี่กดไว้ ถ้าไม่ตายจะถูกพวกเขาเชิญออกไปอย่างนั้นหรือ?!” หากเขาพูดให้เข้าใจแต่แรกนางไม่มีทางเข้ามาอย่างแน่นอน!
ลู่ยากลับลุกขึ้นพูด “หากไม่เข้ามา จะรู้ได้อย่างไรว่าจิ้งจอกน้อยถูกขโมยจิตจิ้งจอกไปเช่นไร?”
มู่จิ่วไร้คำพูดอยู่นาน มองซ่างกวนสุ่น เขาก็เบิกตาทั้งคู่จนกลมอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าจะออกไปเสียหน่อย ประมาณหนึ่งชั่วยามจะกลับมา ข้าวางเขตพลังไว้ที่นี่ ให้พวกเจ้ารอก่อน”
ลู่ยาพูดอย่างสงบนิ่งเหมือนที่เป็นมาตลอด แต่ถึงแม้ปากจะพูดว่า ‘พวกเจ้า’ แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่มู่จิ่วคนเดียว
จากนั้นคิดแล้วคิดอีก เขาหยิบนกกกระเรียนกระดาษวางบนมือนาง พูดว่า “หากเจ้ามีเรื่องต้องการหาข้า ก็ให้มันมา”
พูดจบก็นั่งขัดสมาธิ เรียกเขตพลังออกมา จากนั้นจิตต้นกำเนิดก็ออกจากร่าง ผ่านปราการของระฆังไปทั้งอย่างนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่จิ่วก็ยังไม่ทันได้แสดงท่าทางถามออกไป ไม่รู้ว่าเขาออกไปทำอะไร ไปที่ไหน ยิ่งไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเขาคิดอะไรอยู่ รอจนสติกลับคืน นางเห็นร่างของเขาที่ยังคงนั่งอย่างสงบอยู่ตรงนั้น เหมือนกับนั่งในเขตพลังของตนเองที่ลานจื่อหลิง จึงอึ้งไปอยู่นาน แต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นนั่งลงไป
ราชาจิ้งจอกเห็นมู่หรงเส่าชิงขังพวกเจ้าหน้าที่ทางการไว้ในระฆัง เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรพวกเขาก็เข้ามาก่อเรื่องถึงที่นี่โดยพลการ เพียงแค่ไม่ทำจนถึงแก่ชีวิต ให้พวกเขาลำบากบ้างก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
ยังไงเขาก็รังเกียจพวกคนบนสวรรค์ หรือเจ้าเด็กอวี้ตี้นั่นจะระดมพลมาเรียกร้องความเป็นธรรมเพราะขังคนไม่กี่คนของเขา? ชิงชิวของตนก็ใช่ว่าจะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ ปีนั้นขณะที่เขาออกท่องไปในฟ้าดิน อวี้ตี้ยังเป็นเด็กเปิดประตูของหงจวินจู่ซืออยู่เลย! ถ้าว่ากันที่ความสามารถและประสบการณ์ เทียบกับอวี้ตี้แล้วเขามีเยอะกว่ามากมิใช่หรือ?
หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขากับราชินีจิ้งจอกจึงนำลูกสาวลูกชายกลับวังจิ้งจอกไป
วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ทุกคนในวังจิ้งจอกต้องฝึกลมปราณรับพลังฟ้าดิน ดังนั้นหลังจากแยกกับราชินีจิ้งจอกที่ปากประตูวังแล้ว เขาจึงกลับวังซ่านไปคนเดียว
เพียงเข้าประตูตำหนักไป เขาก็ได้กลิ่นแปลกประหลาด
การดมกลิ่นของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกว่องไวอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่าในตำหนักมีกลิ่นไม่คุ้นชินเพิ่มมากลิ่นหนึ่ง
เขาชะลอฝีเท้าเข้าไปยังม่าน ไข่มุกราตรีที่มุมสี่ทิศสาดส่องแสง มีคนนั่งหันหลังให้ประตูอย่างเกียจคร้านอยู่ที่โต๊ะแปดเซียน ข้อศอกซ้ายตั้งอยู่ริมโต๊ะ มือซ้ายกลับเล่นพัดที่เขาวางไว้บนนั้น
“ใครกัน?”
เขารู้สึกว่าแผ่นหลังนี้คุ้นตานัก โดยเฉพาะมุมของใบหน้าด้านข้าง รวมทั้งเสื้อผ้าเรียบง่ายบนร่างที่ทำให้คนแยกแยะไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร คนผู้นี้ดูไปแล้วทำไมถึงได้เหมือนคู่หูที่มาด้วยกันกับเด็กสาวแซ่กัวนัก?
แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ ระฆังม่วงอมทองของเส่าชิงใช้โลหะดำจากพื้นทะเลตะวันออกที่ลึกลงไปหมื่นลี้หลอมขึ้นมา ไม่มีพลังบำเพ็ญถึงแสนปี อย่าหวังว่าจะออกมาจากระฆังนั่นได้!
“เป็นข้า”
ลู่ยาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ตอบอย่างเรียบๆ หนึ่งประโยค
ท่าทางแบบนี้ สีหน้าแบบนี้ ไม่มีทีท่าของการฝืนแสร้งทำ หรือพูดได้ว่าเขาไม่ได้วางมาดแต่อย่างใด แต่ในท่าทางสงบนิ่งนั้นกลับแสดงออกถึงความมั่นใจในตนเองเหมือนไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น